post

“เลสเตอร์” บุกถล่ม “วิลลา” 4-1 ตามล่าลิเวอร์พูล สรุปผลพรีเมียร์ลีก

Football-291

“จิ้งจอกสยาม” เลสเตอร์ ซิตี้ ยังโชว์ฟอร์มร้อนแรง บุกมาถล่ม แอสตัน วิลลา ขาดลอย เดินหน้าไล่ล่าลิเวอร์พูลต่อไป ในศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ

การแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฤดูกาล 2019-20 ประจำวันอาทิตย์ที่ 8 ธ.ค. คู่ที่น่าสนใจ “สิงห์ผยอง” แอสตัน วิลลา เปิดสนามวิลลา พาร์ค รับการมาเยือนของรองจ่าฝูง “จิ้งจอกสยาม” เลสเตอร์ ซิตี้

เปิดฉากครึ่งแรกมาถึงนาทีที่ 20 เลสเตอร์ ได้ประตูขึ้นนำ 1-0 จาก เจมี วาร์ดี จากนั้นนาทีที่ 41 เลสเตอร์ หนีเป็น 2-0 จาก เคเลชี อิเฮียนาโช

เข้าสู่ช่วงทดเจ็บครึ่งแรก วิลลา ไล่มาเป็น 1-2 จาก แจ็ค กรีลิช ก่อนจะจบครึ่งแรกไปด้วยสกอร์นี้

กลับมาเล่นต่อครึ่งหลัง นาทีที่ 49 เลสเตอร์ หนีห่างเป็น 3-1 จากจังหวะได้เตะมุม เจมส์ แมดดิสัน เปิดบอลเข้าเขตโทษ จอนนี อีแวนส์ โหม่งเข้าไปตุงตาข่าย

ถึงนาทีที่ 75 เลสเตอร์ หนีไปไกลเป็น 4-1 จาก เจมี วาร์ดี และถือเป็นประตูที่ 2 ของเจ้าตัวในเกมนี้อีกด้วย

ช่วงเวลาที่เหลือทั้งสองทีมทำอะไรกันเพิ่มไม่ได้ จบเกม เลสเตอร์ ซิตี้ บุกมาเอาชนะ แอสตัน วิลลา 4-1 เก็บเพิ่มเป็น 38 คะแนน รั้งรองจ่าฝูง ตามหลังลิเวอร์พูล 8 คะแนน พร้อมทำสถิติเก็บชัยชนะในพรีเมียร์ลีก 8 นัดติดต่อกัน

post

“ดอร์ทมุนด์” ตายยาก ไล่ตีเจ๊าพาเดอร์บอร์นสุดมันในถิ่น 3-3

Football-289

“มาร์โก รอยส์” โขกเซฟแต้มช่วยให้ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ เปิดบ้านไล่ตีเสมอทีมในโซนล่างอย่าง พาเดอร์บอร์น ไปแบบสุดระทึก 3-3

การแข่งขันศึกฟุตบอลบุนเดสลีกา เยอรมนี 2019-20 ในคืนวันศุกร์ที่ 22 พฤศจิกายน “เสือเหลือง” โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ อันดับ 6 ของตาราง เปิดบ้านรับมือ พาเดอร์บอร์น ทีมในโซนท้ายตาราง

เปิดฉากครึ่งแรกไปได้แค่ 5 นาที เป็นฝั่งทีมเยือนที่ขึ้นนำก่อน 1-0 ไค โปรเกอร์ พาบอลหลุดขึ้นมาทางขวา ก่อนจ่ายเข้ากลางให้กับ สเตรลี เมมบา พุ่งชาร์จที่เสาแรก

ถัดมาในนาที 37 พาเดอร์บอร์นขยับหนีออกไปเป็น 2-0 เบน โซลินสกี วางบอลข้ามแนวรับดอร์ทมุนด์ให้ สเตรลี เมมบา หลุดเข้าไปยิงง่าย ๆ

นาที 43 กองเชียร์ทีมเยือนก็ได้เฮต่อเนื่อง เมื่อนำห่าง 3-0 จากการลากเข้าไปยิงมุมแคบของ แกร์ริต โฮลท์มันน์ และจบครึ่งแรกด้วยสกอร์นี้

แต่เริ่มเกมในครึ่งหลังไปได้ 2 นาที เจ้าถิ่นตีไข่แตกไล่มาเป็น 3-1 อย่างรวดเร็ว อัซราฟ ฮาคิมี ผ่านบอลเข้ากลางให้ จาดอน ซานโช ซัดด้วยขวาเต็มข้อ

ท้ายเกมนาที 84 ดอร์ทมุนด์ไล่จี้มาเป็น 3-2 มัตส์ ฮุมเมิลส์ ตวัดบอลจากเข้าไปหน้าประตู อักเซล วิตเซล ขึ้นโขกตุงตาข่าย

และในช่วงทดเจ็บนาที 90+2 เสือเหลืองก็ตีเสมอเป็น 3-3 สำเร็จ จาดอน ซานโช ตักบอลจากฝั่งซ้ายไปหน้าประตูให้ มาร์โก รอยส์ โฉบโหม่งเข้าไป

ทำให้จบเกม โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ไล่ตีเสมอ พาเดอร์บอร์น ไปแบบสุดระทึก 3-3 แบ่งกันไปทีมละหนึ่งคะแนน

post

“อิตาลี” สร้างสถิติเก็บชัยรวด 10 เกมติดในรอบ 80 ปี

Football-288

ทีมชาติอิตาลี สร้างสถิติใหม่ด้วยการเก็บชัยชนะรวด 10 เกมติด ทุบสถิติเดิมเมื่อ 80 ปีก่อน

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานวันที่ 16 พ.ย. ว่า หลังจากที่ “อัซซูรี” ทีมชาติอิตาลี เจ้าของแชมป์ฟุตบอลโลก 4 สมัย (1934, 1938, 1982, 2006)

บุกไปเอาชนะ บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา หรือ “บอสเนีย” 3-0 ในศึกลูกหนังยูโร 2020 รอบคัดเลือก กลุ่มเจ เมื่อคืนนี้ ส่งผลให้ทัพมักกะโรนีทำสถิติใหม่ชนะรวด 10 นัดติด ทำลายสถิติเก่าเมื่อ 80 ปีที่แล้ว  

โดยสถิติดังกล่าวต่อเนื่องมาจากการคว้าชัยครั้งแรกในแมตช์อุ่นเครื่องที่พบกับทีมชาติสหรัฐอเมริกา เมื่อเดือน พ.ย. ปี 2018 และต่อจากนั้นภายใต้การคุมทัพของ โรแบร์โต มันชินี ที่ได้ทำการพาทีมเข้าวินรวดของศึกยูโร รอบคัดเลือกอีก 9 เกม

ทำให้เป็นชัยชนะ 10 เกมติดของทัพอัซซูรี ทำลายสถิติเดิมเมื่อปี 1938-1939 ซึ่งในปีนั้นทีมชาติอิตาลีผงาดคว้าแชมป์โลกสมัยสองที่ฝรั่งเศส ด้วยการเอาชนะ ฮังการี 4-2

post

“แมนฯซิตี้” บุกเจ๊า “อตาลันตา” 1-1 ยังไม่ลิ่ว 16 ทีม ชปล.

Football-285

“เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ยังไม่เข้ารอบ 16 ทีมสุดท้าย หลังบุกมาเสมอ อตาลันตา 1-1 ในศึกยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก รอบแบ่งกลุ่ม

การแข่งขันฟุตบอลยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่มซี เมื่อคืนวันพุธที่ 6 พ.ย. คู่ที่น่าสนใจ อตาลันตา ทีมดังจากอิตาลี เปิดสนามซาน ซิโร รับการมาเยือนของ “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ถ้าเกมนี้ เรือใบสีฟ้า จะการันตีเข้ารอบ 16 ทีมทันที

เปิดฉากครึ่งแรกมาแค่ 7 นาที แมนฯซิตี้ ได้ประตูขึ้นนำ 1-0 จากจังหวะที่ แบร์นาโด ซิลวา จ่ายบอลเข้าเขตโทษ กาเบรียล เฆซุส ตอกส้นให้ ราฮีม สเตอร์ลิง ยิงเสียบมุมเข้าไป

จากนั้นนาทีที่ 41 แมนฯซิตี้ ได้ฟรีคิกระยะหวังผล ราฮีม สเตอร์ลิง ซัดด้วยขวา ไปติดกำแพง แต่เหมือนจะเป็นจังหวะแฮนด์บอล ผู้ตัดสินเช็กวีเออาร์ และมองว่า โจซิป อิลิซิช ผู้เล่นอตาลันตาทำแฮนด์บอลในเขตโทษ แต่ กาเบรียล เฆซุส ยิงหลุดกรอบเฉยเลย

จบครึ่งแรก แมนเชสเตอร์ ซิตี้ บุกมานำ อตาลันตา ไปก่อน 1-0

กลับมาเล่นต่อครึ่งหลัง นาทีที่ 49 อตาลันตา ไล่ตีเสมอ 1-1 เมื่ออเลฮานโดร โกเมซ เปิดบอลจากฝั่งซ้ายเข้ากรอบเขตโทษและเป็น มาริโอ ปาซาลิช ขึ้นโหม่งโล่งๆ เข้าไปตุงตาข่าย

จากนั้นนาทีที่ 62 อตาลันตา เกือบแซงนำ จากจังหวะที่ อเลฮานโดร โกเมซ เปิดลุกเตะมุมจากฝั่งขวาเข้าเขตโทษ เบรัต ฌิมซิติ โหม่งหลุดเสาไกลไปนิดเดียว

ถึงนาทีที่ 81 แมนฯซิตี้ ต้องมาเหลือผู้เล่น 10 คน เมื่อ เคลาดิโอ บราโว ผู้รักษาประตูชาวชิลี ที่ลงมาแทน เอแดร์สัน ตั้งแต่ช่วงต้นครึ่งหลัง ออกมาทำฟาวล์ โจซิป อิลิซิช ที่กำลังหลุดเดี่ยวนอกเขตโทษ ทำให้โดนใบแดงไล่ออกจากสนามไป และ แมนฯซิตี้ ต้องส่ง ไคล์ วอลเกอร์ แบ็กขวาลงมาเป็นผู้รักษาประตูจำเป็น เพราะไม่มีโกลเหลือแล้วในตัวสำรอง และเป็น ริยาด มาห์เรซ ที่ถูกเปลี่ยนตัวไป

ช่วงเวลาที่เหลือทั้งสองทีมทำอะไรกันเพิ่มไม่ได้ จบเกม แมนเชสเตอร์ ซิตี้ บุกมาเสมอ อตาลันตา 1-1 แบ่งกันไปทีมละแต้ม แมนฯซิตี้ เก็บเพิ่มเป็น 10 คะแนน นำเป็นจ่าฝูงกลุ่มต่อไป ส่วน อตาลันตา เก็บ 1 แต้มแรก รั้งบ๊วยของกลุ่ม

ผลคู่อื่นมีดังนี้

กลุ่มเอ

ปารีส แซงต์ แชร์แมง ชนะ คลับ บรูกก์ 1-0

เรอัล มาดริด ชนะ กาลาตาซาราย 6-0

กลุ่มบี

บาเยิร์น มิวนิก ชนะ โอลิมเปียกอส 2-0

เซอร์เวนา ซเวซดา แพ้ ทอตแนม ฮอตสเปอร์ 0-4

กลุ่มซี

ดินาโม ซาเกร็บ ชนะ ชัคตาร์ โดเนตส์ค 3-3

กลุ่มดี

โลโคโมทีฟ มอสโก แพ้ ยูเวนตุส 1-2

ไบเออร์ เลเวอร์คูเซน ชนะ แอตเลติโก มาดริด 2-1

post

“เชลซี” ตายยาก ไล่เจ๊า “อาแจ็กซ์ฯ” 9 คนสุดเดือด 4-4

Football-284

เชลซีไล่ตามหลังผู้มาเยือนจากแดนกังหันลมตลอดทั้งเกม ก่อนจะได้เปรียบตัวผู้เล่นในช่วงครึ่งหลัง ไล่เจ๊ากับอาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ไปอย่างสุดมัน 4-4 

การแข่งขันศึกฟุตบอลยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ประจำวันอังคารที่ 5 พฤศจิกายน โดยเกมในกลุ่ม เอช นัดที่ 4 ทีมจ่าฝูงอย่าง เชลซี เปิดบ้านที่สนามสแตมฟอร์ด บริดจ์ รับมืออาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม จากเนเธอร์แลนด์

เปิดฉากครึ่งแรกไปได้แค่ 2 นาที ทีมเยือนก็ขึ้นนำอย่างรวดเร็ว 1-0 ควินซี โพรเมส เปิดฟรีคิกไปบอลแฉลบขา แทมมี อับราฮัม เข้าประตูไป

แต่ถัดมาแค่ 3 นาที เชลซีตีเสมอทันควันเป็น 1-1 จากการสังหารจุดโทษของ จอร์จินโญ

นาที 13 คริสเตียน พูลิซิช แทงบอลทะลุช่องให้ แทมมี อับราฮัม หลุดเข้าไปยิงตุงคาข่าย แต่ไลน์แมนยกธงล้ำหน้าไปก่อน

อย่างไรก็ตามนาที 20 ผู้มาอาแจ็กซ์พลิกขึ้นนำอีกครั้งเป็น 2-1 ฮาคิม ซิเยค โยนบอลไปหน้าประตู ควินซี โพรเมส โหม่งเข้าไป

นาที 35 สกอร์ไหลเป็น 3-1 ฮาคิม ซิเยค เปิดฟรีคิกไปชนสามเหลี่ยม บอลกระดอนมาโดนหน้า เกปา อาร์ริซาบาลากา เข้าประตู และจบครึ่งแรกด้วยสกอร์นี้

ครึ่งหลังนาที 55 อาแจ็กซ์ขยับนำห่าง 4-1 ฮาคิม ซิเยค ผ่านบอลให้กับ ดอนนี ฟาน เดอ บีค ยิงเข้าไป

แต่หลังจากนั้นเจ้าถิ่นโหมบุกหนัก และมาตีตื้นเป็น 4-2 ในนาที 63 จากการตามซ้ำระยะเผาขนของ เซซาร์ อัซปิลิกวยตา

นาที 68 อาแจ็กซ์ต้องเหลือผู้เล่นเพียงแค่ 9 คน เมื่อ ดาลีย์ บลินด์ และ โจเอล เวลท์มัน โดนใบแดงไล่ออกจากสนาม

นาที 71 เชลซีไล่จี้มาเป็น 4-3 จากการสังหารจุดโทษอีกครั้งของ จอร์จินโญ

ถัดมาอีก 3 นาทีสิงห์บลูตามตีเสมอเป็น 4-4 จากจังหวะชุลมุนหน้าประตู สุดท้ายเป็น รีซ เจมส์ ตะบันจากนอกกรอบตุงตาข่าย

นาที 78 กองเชียร์เจ้าถิ่นต้องเฮเก้อ เมื่อ เซซาร์ อัซปิลิกวยตา ยิงเข้าไป แต่ผู้ตัดสินปฏิเสธให้เป็นประตู หลังภาพช้า VAR เห็นว่าเป็นจังหวะแฮนด์บอลของ แทมมี อับราฮัม ไปก่อนหน้านี้

ช่วงเวลาที่เหลือแม้พลพรรคสิงห์บลูจะเปิดหน้าแลกเต็มสูบ แต่จังหวะสุดท้ายกลับไม่เฉียบคมพอ

ทำให้จบเกม เชลซี เปิดบ้านไล่เจ๊า อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ไปอย่างสุดมัน 4-4

post

“รามอส” บ่นอุบ ราชันไม่น่าพลาดเจ๊า ทำอดขึ้นจ่าฝูง

Football-281

เซร์คิโอ รามอส กองหลังของเรอัล มาดริด ออกอาการเสียดายสุดๆ หลังต้นสังกัดทำได้แค่เสมอกับ เรอัล เบติส เกมลาลีกา เมื่อคืนที่ผ่านมา 

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานวันที่ 3 พ.ย. ว่า เซร์คิโอ รามอส เซ็นเตอร์ฮาลฟ์กัปตันทีม “ราชันชุดขาว” เรอัล มาดริด กำลังเซ็งกับผลงานของทีมในเกมเปิดสนาม ซานเตียโก เบร์นาเบว เสมอกับรองบ่อนอย่าง เรอัล เบติส 0-0 ของศึกลาลีกา สเปน เมื่อคืนนี้

โดยก่อนเกมนี้ทัพเรอัล มาดริด ตามหลังบาร์ซา เพียง 1 แต้มเท่านั้น แถมกุมความได้เปรียบอีกหนึ่งอย่างคือ หากทัพราชันชนะจะแซงขึ้นไปเป็นผู้นำของตารางทันที เพราะทัพเจ้าบุญทุ่มดันพลาดท่าบุกไปพ่าย เลบันเต 1-3 ในคู่ 22.00 น. แต่อย่างไรก็ตาม มาดริด ที่ลงเล่นในคู่ 03.00 น. กลับทำไม่สำเร็จ เก็บได้เพียง 1 แต้ม ส่งผลให้มีแต้มเท่ากันที่ 22 คะแนน แต่ประตูได้เสียบาร์ซาโลนายังดีกว่าที่บวก 15 ส่วน เรอัล มาดริด บวก 12

“เรารู้สึกไม่ดีเลย เพราะจริงๆ แล้ววันนี้เราควรขึ้นไปเป็นจ่าฝูงของตาราง แต่เราไม่สามารถคว้าความได้เปรียบตรงนี้เอาไว้ได้ ซึ่งมันมาจากการที่เราเจาะประตูพวกเขาไม่ได้ และนี้คือบทสรุปของเกมนี้” กองหลังทีมชาติสเปน กล่าว

post

แรชฟอร์ดฮีโร่เบิ้ล! แมนยูย้ำแค้นเบียดเชลซีลิ่วรอบ8ทีม คาราบาวคัพ

Football-279

มาร์คัส แรชฟอร์ด ดาวยิง “ปีศาจแดง” สวมบทฮีโร่เหมาคนเดียว 2 ประตูพาทีมบุกเชือด เชลซี 2-1 หยุดความร้อนแรงของทัพ “สิงห์บลูส์” เฮ 3 เกมรวดในทุกรายการ ลอยลำเข้าไปเล่นรอบ 8 ทีมสุดท้ายสำเร็จ ในศึกฟุตบอล คาราบาว คัพ (รอบ 16 ทีมสุดท้าย) คืนวันพุธที่ผ่านมา

สนาม : สแตมฟอร์ด บริดจ์

    แฟร้งค์ แลมพาร์ด กุนซือเชลซี พาทีมเข้ารอบนี้ หลังชนะกริมสบี้ 7-1 ก่อนชนะเบิร์นลี่ย์ 4-2 ในเกมลีกล่าสุด เป็นการคว้าชัย 7 นัดติด

    ทางด้าน โอเล่ กุนนาร์ โซลชา กุนซือแมนฯ ยูไนเต็ด พาทีมเข้ารอบนี้ หลังชนะจุดโทษรอชเดล ก่อนชนะนอริช ซิตี้ 3-1 ในเกมล่าสุด เป็นชัยชนะ 2 นัดติด

    ครึ่งแรกผ่านมา 10 นาทีรูปเกมยังค่อนข้างอึดอัดเล่นแบบรัดกุมด้วยกันทั้งคู่แต่เป็น “สิงห์บลูส์” ที่ครองบอลดีกว่านิดหน่อย ส่วนทาง “ปีศาจแดง” มาเสียใบเหลืองเร็วจากจังหวะ สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ เสียบอันตรายใส่ มาเตโอ โควาซิช

    นาทีที่ 13 “ปีศาจแดง” เกือบได้ประตูขึ้นนำจากลูกเตะมุมทางฝั่งขวาของ แดเนี่ยล เจมส์ เล่นลูกสูตรจ่ายสั้นเข้ากรอบเขตโทษ และเป็น สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ วิ่งเข้ามาซัดด้วยขวาเฉียดเสาไปนิดเดียว

    แต่แล้วนาทีที่ 24 “ปีศาจแดง” มาได้ลูกจุดโทษอีกแล้วจากจังหวะ มาร์กอส อลอนโซ่ ไปเบียด แดเนี่ยล เจมส์ ร่วงลงไปกองกับพื้น ก่อนเป็น มาร์คัส แรชฟอร์ด รับหน้าที่สังหารคราวนี้ไม่พลาด เชลซี 0 แมนฯ ยูไนเต็ด 1

    ก่อนหมดครึ่งแรกนาทีที่ 35 เป็นเกมที่แฟนบอลทั้งสองทีมค่อนข้างอึดอัดโอกาสยิงประตูมีน้อยเน้นไปที่การสู้กันในแดนกลางมากกว่า โดยเฉพาะ เจ้าถิ่นยังซัดไม่ตรงกรอบซักครั้ง

    นาทีต่อมาเป็น เจสซี่ ลินการ์ด รับบอลจาก มาร์คัส แรชฟอร์ด หน้ากรอบเขตโทษก่อนลองปั่นโค้งด้วยขวาแต่บอลเบาไปเข้ามือ วิลลี่ กาบาเยโร่ รับไว้ไม่ยาก

    หมดครึ่งเวลาแรก เชลซี 0 แมนฯ ยูไนเต็ด 1

    ครึ่งหลังนาทีที่ 50 “สิงห์บลูส์” พลาดโอกาสทิงตีเสมอจากจังหวะขึ้นเกมทางริมเส้นฝั่งซ้าย มาร์กอส อลอนโซ่ ก่อนปาดเข้ากลางให้ คัลลั่ม ฮัดสัน-โอดอย ยิงผิดเหลี่ยมบอลไหลผ่านหน้าประตูออกหลังเหลือเชื่อ

    2 นาทีต่อมาเจ้าถิ่นโหมหนักเป็น แบรนดอน วิลเลี่ยมส์ พยายามทิ้งตัวสกัดบอลแต่โชคร้ายมาเข้าทาง มาร์ค กูเอฮี ยืนหวดเต็มข้อหน้ากรอบเขตโทษแต่ยังดีมี เฟร็ด ตามมาบล็อคช่วย “ปีศาจแดง” เอาไว้ได้ทัน

    นาทีที่ 57 “สิงห์บลูส์” เริ่มดีกว่าชัดเจนเป็นจังหวะทิ้งบอลยาวของ คริสเตียน พูลิซิช ให้ คัลลั่ม ฮัดสัน-โอดอย หลุดกับดักล้ำหน้าเข้าไปซัดตามน้ำบอลข้ามคานออกไปนิดเดียว

    โหมกระหน่ำอยู่นานสุดท้ายนาทีที่ 61 เจ้าถิ่นตามตีเสมอสำเร็จจากบอลยาวของ วิลลี่ กาบาเยโร่ หวดมาเข้าทาง มิชี่ บาตชูอายี่ โซโล่เดี่ยวจากครึ่งสนามเบียด แฮร์รี่ แม็กไกวร์ ก่อนยิงเลียดเสียบเสาสุดสวย เชลซี 1 แมนฯ ยูไนเต็ด 1

นาทีที่ 73 “ปีศาจแดง” ทะยานออกนำอีกครั้งจากลูฟฟรีคิกระยะร่วม 30 หลาของ มาร์คัส แรชฟอร์ด วิ่งมาสับเต็มข้อด้วยขวาบอลพุ่งส่ายเสียบใต้คานงามหยด เชลซี 1 แมนฯ ยูไนเต็ด 2

    ก่อนหมดเวลา 10 นาที เชลซี เกือบตีเสมออีกครั้งจากลูกยิงด้วยซ้ายในเขตโทษของ มาร์กอส อลอนโซ่ บอลไปติดเซฟ เซร์คิโอ โรเมโร่ หลุดออกหลังไป

    ช่วงท้ายเกม “ปีศาจแดง” เกือบบวกสกอร์เพิ่มจากลูกปั่นโค้งของ อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล แต่บอลหลุดเสาออกไปนิดเดียว

    จบเกม เชลซี 1 แมนฯ ยูไนเต็ด 2 เป็นลูกทีมของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ย้ำแค้นลอยลำผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายสำเร็จ

รายชื่อผู้เล่นที่ลงสนามตัวจริง

    เชลซี (4-3-3) : วิลลี่ กาบาเยโร่ – รีซ เจมส์, คัวร์ท ซูม่า, มาร์ค กูเอฮี, มาร์กอส อลอนโซ่ – มาเตโอ โควาซิช, บิลลี่ กิลมัวร์ (เมสัน เมาท์ น.70), จอร์จินโญ่ – คริสเตียน พูลิซิช (เปโดร โรดริเกซ น.70), มิชี่ บาตชูอายี่ (แทมมี่ อับราฮัม น.78), คัลลั่ม ฮัดสัน-โอดอย

    ผู้จัดการทีม : แฟร้งค์ แลมพาร์ด  

    แมนฯ ยูไนเต็ด (3-4-1-2) : เซร์คิโอ โรเมโร่ – วิคเตอร์ ลินเดอเลิฟ (อ็องโตนี มาร์กซิยาล น.66), แฮร์รี่ แม็กไกวร์, มาร์กอส โรโฮ – อารอน วาน-บิสซาก้า, สกอตต์ แม็คโทมิเนย์, แบรนดอน วิลเลี่ยมส์, เฟร็ด – เจสซี่ ลินการ์ด (อันเดรียส เปเรร่า น.67) – แดเนี่ยล เจมส์, มาร์คัส แรชฟอร์ด (แอชลี่ย์ ยัง น.80)

    ผู้จัดการทีม : โอเล่ กุนนาร์ โซลชา

post

โรม่า เฉือน มิลาน 2-1 ขยับขึ้นที่ 5 กัลโช่ฯ

Football-277

การเเข่งขันฟุตบอล กัลโช เซเรีย อา 2019-2020 คู่บิ๊กแมตช์ประจำโปรแกรมสัปดาห์ที่ 9 เป็นการพบกันระหว่าง เอแอส โรมา เปิดรังเหย้า สตาดิโอ โอลิมปิโก ต้อนรับการมาเยือนของ เอซี มิลาน

เปาโล ฟอนเซก้า กุนซือเจ้าบ้าน เลือกจัดทัพมาในระบบ 4-2-3-1 โดยใช้ เอดิน เชโก้ ค้ำหน้าเป้าคอยทำเกมรุกร่วมกับ นิโกโล ซานิโอโล, ฮาเวียร์ ปาสตอเร และ ดีเอโก้ เปร็อตติ

ด้านทีมเยือนของ สเตฟาโน ปิโอลี วางหมากมาในแผน 4-3-3 ด้วยการฝากความหวังในแนวรุกไว้ที่สามประสานแดนหน้าอย่าง ซูโซ, ราฟาเอล เลเอา และ ฮาคาน ชัลฮาโนลู

ผลปรากฎว่า เริ่มครึ่งแรก นาทีที่ 42 ดีเอโก้ เปร็อตติ กระชากบอลจากริมสนามฝั่งซ้าย ตัดเข้ากลางก่อนไหลบอลให้ ฮาเวียร์ ปาสตอเร่ ที่หาที่ว่างอยู่ในกรอบเขตโทษ หลุดเข้าไปซัดบอลไม่ผ่านมือ จานลุยจิ ดอนนารุมม่า นายทวารมิลาน จบ 45 นาทีแรก โรม่า นำ 1-0

ครึ่งหลัง นาทีที่ 55 ดาวิเด้ คาลาเบรีย แบ็กขวาที่ลงมาใหม่โชว์ก่อนเปิดจากริมสนามด้านขวา บอลย้อยมาหน้ากรอบเขตโทษ เตโอ แอร์กน็องเดซ วิ่งแตะบอลโดยขวาแล้วซัดเรียดด้วยซ้าย บอลผ่านตัว คริส สมอลลิ่ง ค่อย ๆ ไหลกลิ้งเข้าประตูไป มิลาน ตีเสมอ 1-1

แต่แล้วนาทีที่ 59 อเลสซิโอ โรมันโยลี่ กองหลังปีศาจแดงดำ ออกบอลบริเวณริมสนามด้านขวาไม่ดี มาเข้าทาง เอดิน เชโก้ จ่ายบอลไปติด ลูกัส บีย่า ที่พยายามลงมาช่วยสกัด บอลเปลี่ยนทางมาให้ นิโกโล่ ซานิโอโล่ ที่สปีดมาเก็บบอลในกรอบเขตโทษก่อนหวดเข้าไปไม่เหลือซาก โรม่า นำอีกครั้ง 2-1

จากนั้นไม่มีประตูเกิดขึ้นเพิ่มเติมอีก ทำให้สุดท้ายจบเกมเป็นโรม่าเฉือนชนะไป 2-1 ซึ่งถือเป็นกลับมาคว้าชัยได้อีกครั้ง หลังจากเสมอมาถึง 4 นัดติดต่อกันก่อนหน้านี้รวมทุกรายการ พร้อมขยับขึ้นมารั้งที่ 5 มีเพิ่มเป็น 16 แต้ม ส่วนเอซี มิลานอยู่อันดับ 12 มี 10 คะแนนเท่าเดิม

ผลคู่อื่นๆ
โบโลญญ่า 2-1 ซามพ์โดเรีย
อตาลันต้า 7-1 อูดิเนเซ่
สปอล 1-1 นาโปลี
โตริโน่ 1-1 กายารี่
ฟิออเรนติน่า 1-2 ลาซิโอ

post

ชำแหละ 4 ประเด็นร้อน “ลิเวอร์พูล” แซงทุบ “สเปอร์ส”

Football-276

“หงส์แดง” ลิเวอร์พูล เปิดบ้านเอาชนะ “ไก่เดือยทอง” ทอตแนม ฮอตสเปอร์ ไป 2-1 และนี่คือ 4 ประเด็นสำคัญที่ได้เห็นจากเกมนี้

1.โกลสเปอร์สโคตรเหนียว

เกมนี้ต้องยกนิ้วให้กับ เปาโล กัซซานิกา ผู้รักษาประตูของสเปอร์ส เพราะโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมเซฟจังหวะยิงของลิเวอร์พูลแทบนับไม่ถ้วน ทำเอาแฟนบอลลิเวอร์พูลบ่นกันระงม ยิงยากยิงเย็นเหลือเกิน

2.กัปตันเฮนโด้ แก้ตัวสำเร็จ

จังหวะที่ลิเวอร์พูลเสียประตูตั้งแต่ต้นเกม เริ่มมาจากความผิดพลาดของ เฮนเดอร์สัน ที่ทำเสียบอลในแดนกลางแล้วถูกสเปอร์สโต้กลับ อย่างไรก็ตาม เฮนเดอร์สัน ก็แสดงให้เห็นถึงสภาพจิตใจที่แข็งแกร่ง ก้มหน้าก้มตาเล่นต่อไป และมาทำประตูให้ทีมได้ในช่วงครึ่งหลัง

3. ฟาบินโญ+เทรนต์ ฟอร์มเฉียบ

เกมนี้ ฟาบินโญ คุมจังหวะเกมอดนกลางให้ลิเวอร์พูลได้ดีมาก การเข้าปะทะ การผ่านบอล ไหลลื่นสุดๆ โดยเฉพาะจังหวะที่กล้าเสี่ยงเปิดบอลเข้าเขตโทษก่อนที่บอลจะมาเข้าทาง เฮนเดอร์สัน ยิงตีเสมอให้ลิเวอร์พูลสำเร็จ ส่วน เทรนต์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ ก็ทำได้ดีเยี่ยมในตำแหน่งแบ็กขวา จังหวะเติมขึ้นมายิง จังหวะฟรีคิก จังหวะเตะมุมจากเขาคนนี้ได้ลุ้นอยู่ตลอด

4.ยังรักษาระยะห่างต่อไป

เกมนี้ถ้าลิเวอร์พูลพลาดแพ้หรือเสมอน่าจะทำให้ แมนฯซิตี้ มีกำลังใจในการไล่ล่าจ่าฝูง แต่ลิเวอร์พูลแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่น ไม่ยอมทำแต้มหล่นง่ายๆ จนฮึดกลับมาคว้าชัยชนะในเกมนี้ได้สำเร็จ นำจ่าฝูงต่อไป มีแต้มเหนือแมนฯซิตี้อยู่ 6 คะแนน

post

พูริซิชแฮตทริก! เชลซีเสียวท้ายเกมบุกเชือดเบิร์นลี่ย์ เฮ7นัดทุกรายการ

Football-275

คริสเตียน พูริซิช ปลดล็อคพังประตูในพรีเมียร์ลีกได้เสียที แถมนัดนี้รับบทเป็นพระเอกตะบันแฮตทริกพา เชลซี บุกไปคว้าชัยเหนือเบิร์นลี่ย์ แบบมีเสียวช่วงท้ายเกม 4-2

ทำสถิติคว้าชัย 7 นัดติดต่อกันทุกรายการ เก็บสามแต้มมี 20 คะแนนเท่ากับ เลสเตอร์ รั้งอันดับ 4 ตารางพรีเมียร์ลีกเหมือนเดิม ขณะที่ พูริซิช กลายเป็นแข้งชาวอเมริกันรายที่สองต่อจาก คลินท์ เดมพ์ซีย์ ที่ทำแฮตทริกได้ในเวทีพรีเมียร์ลีก

สนาม : เทิร์ฟ มัวร์

    ครึ่งแรก เริ่มมาได้แค่ 5 นาที ทีมเยือนได้โอกาสทักทายก่อนจาก วิลเลี่ยน ตั้งป้อมหวดด้วยซ้ายบอลเหินหลุดกรอบออกไป

    นาที 18 ดไวท์ แม็คนีล กระชากบอลขึ้นทางซ้ายก่อนหลุดถึงเส้นหลังครอสบอลไปแฉลบ เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า ก่อนไปเข้ามือ เกป้า นายด่านของสิงห์บลูส์

    นาที 21 กลายเป็นทีมเยือนที่บุกมาขึ้นนำก่อน 1-0 จากความผิดพลาดของ แม็ทธิว ลอว์ตัน แนวรับเจ้าถิ่นที่เสียการครองบอลโดน คริสเตียน พูริซิช ฉกบอลก่อนกระชากเข้าไปสับขาหนี เจมส์ ทาร์คอฟสกี้ แล้วซัดด้วยซ้ายส่งบอลเลียดเสียบเสาสองอย่างเฉียบขาด

    เจ้าถิ่นไม่ท้อหวังตีเสมอให้ได้ นาที 25 เอริค ปีเตอร์ส ตะบันด้วยซ้ายข้างถนัดนอกกรอบบอลพุ่งแรงแต่ยังไปติดเซฟของ เกป้า 

    อีกสามนาทีต่อมา บอลวางยาวของ วิลเลี่ยน จากขวาขวางมาซ้ายในกรอบให้   คริสเตียน พูริซิช พักอกลงก่อนซัดด้วยขวาบอลพุ่งไปติดตัว นิค โป๊ป เซฟช่วยทีมไว้ได้

    นาทีที่ 30 เบิร์นลี่ย์ พลาดโอกาสตีเสมออย่างจัง บอลเซ็ตเพลย์จากขวาเปิดยาวไปเสาไกลให้ เบน มี ขึ้นโขกชงมาเสาแรก แอชลี่ย์ บาร์นส์ พุ่งมาโขกจ่อๆแต่โหม่งบอลหลุดเสาออกอย่างน่าเสียดาย

    นาทีสุดท้ายครึ่งแรก “สิงห์บลูส์” ทะยานออกนำ 2-0 และเป็นแนวรับเจ้าถิ่นที่ผิดพลาดอีก เจมส์ ทาร์คอฟสกี้ ออกไปสั้นไปโดน วิลเลี่ยน ตัดบอลได้มาเข้าเท้า คริสเตียน พูลิซิช เลี้ยงจี้จากกลางสนามเข้ามาก่อนกระชากหนี ทาร์คอฟสกี้ เข้าไปซัดด้วยขวาบอลไปแฉลบ เบน มี เสียบมุมแคบเสาแรกชนิดที่ นิค โป๊ป ยืนขาตายได้แต่มอง

    จบครึ่งแรก เบิร์นลี่ย์ ตามหลัง เชลซี 0-2

    ครึ่งหลัง เจ้าถิ่นอยู่ไม่ได้หลังตามหลังถึงสองเม็ด รุกหนักเต็มสูบ นาที 51 บอลขึ้นทางขวาถึง เจย์ โรดริเกซ ตะบันด้วยขวาเสาแรกแต่ยังไม่ผ่านมือ เกป้า ที่ปิดมุมรับเข้าซองไว้ได้

    ทว่า นาที 56 แฟนเบิร์นลี่ย์เงียบกริบทั้งสนามเมื่อลูกทีมของ แฟร้งค์ แลมพาร์ด มาได้ประตูที่สามนำห่าง บอลจาก เมสัน เมาน์ท ครอสด้วยเท้าขวาไปเสาแรก คริสเตียน พูริซิช โฉบมาโหม่งเสยไปเสาไกล ให้เชลซีนำโด่ง 3-0 และเป็นแฮตทริกของพูริซิชในเกมนี้

    ไม่แค่นั้น อีก 2 นาทีถัดมา สกอร์มาไหลเป็น 4-0 จากจังหวะสวนกลับ แทมมี่ อบราฮัม ลากตะลุยขึ้นมาแล้วไหลออกขวาให้ วิลเลี่ยน เลี้ยงมาสับเรียดผ่านมือ โป๊ป เสียบเสาไกลเข้าไปเลย

    นาทีที่ 76 เชลซี มาได้จุดโทษ เมื่อ คัลลั่ม ฮัดสัน-โอดอย ตัวสำรองล้มลงไป ทว่าจากการเช็กวีเออาร์ปรากฎว่าเป็นการพุ่งล้มของดาวเตะสิงห์บลูส์ ทำให้มีการเปลี่ยนคำตัดสิน และแจกใบเหลืองให้ ฮัดสัน-โอดอย แทน

    เจ้าบ้านมาได้ประตูปลอบใจ 1-4 ในนาทีที่ 86 เมื่อ ร็อบบี้ เบรดี้ ตัดบอลได้จาก พูลิซิช แถวกลางสนาม ก่อนไหลให้ เจย์ โรดริเกซ ลากมาตะบันด้วยขวาจากระยะกว่า 30 หลาเต็มแรง บอลพุ่งผ่านมือ เกปา เสียบใต้คานสุดสวย

    นาที 89 เบิร์นลี่ย์ ไม่ถอดใจไล่มาอีกลูก เมื่อ ดไวท์ แม็คนีล ยิงด้วยซ้ายหน้าเขตโทษฝั่งขวา บอลไปแฉลบ โทโมรี่ เปลี่ยนทางทำให้ เกปา หลงขาตาย และลูกก็เข้าประตูไป แต่ก็ทำได้เพียงเท่านั้น จบเกม เชลซี เอาชนะ เบิร์นลี่ย์ 4-2 คว้าชัย 7 นัดรวดในทุกรายการ

    รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม

        เบิร์นลี่ย์ (4-4-2) : นิค โป๊ป – แม็ทธิว ลอว์ตัน, เจมส์ ทาร์คอฟสกี้, เบน มี, เอริค ปีเตอร์ส – ดไวท์ แม็คนีล, แจ็ค คอร์ก, แอชลี่ย์ เวสต์วู้ด, เจฟฟ์ เฮนดริค (ร็อบบี้ เบรดี้ น.84)- แอชลี่ย์ บาร์นส์ (มาเตย์ วิดร้า น.63), เจย์ โรดริเกซ  

        ผู้จัดการทีม : ฌอน ไดช์

        เชลซี (4-3-3) : เกปา อาร์รีซาบาลาก้า – เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า, คูร์ท ซูม่า, ฟิคาโย่ โทโมรี่, มาร์กอส อลอนโซ่ (รีซ เจมส์ น.63) – มาเตโอ โควาซิช, จอร์จินโญ่, เมสัน เมาน์ท – วิลเลี่ยน (คัลลั่ม ฮัดสัน-โอดอย น.72), แทมมี่ อบราฮัม (โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ น.70), คริสเตียน พูริซิช 

        ผู้จัดการทีม : แฟร้งค์ แลมพาร์ด  

        ผู้ตัดสิน : ไมเคิ่ล โอลิเวอร์