post

ยังแก้อาถรรพณ์ไม่ได้ หลัง “อังกฤษ” พลาดแชมป์ แพ้จุดโทษ “อิตาลี” ในศึกยูโร 2020

เปิดสถิติสุดเศร้าของทีมชาติอังกฤษ ที่กลายเป็นอาถรรพณ์ หลังยังไม่สามารถล้างตาเอาชนะ “อัซซูรี” ได้เลย ในการดวลเป้าชี้ขาด

ความเคลื่อนไหวหลังจบเกมนัดชิงชนะเลิศ ศึกฟุตบอลยูโร 2020 ซึ่ง “อัซซูรี” ทีมชาติอิตาลี เฉือนเอาชนะ “สิงโตคำราม” ทีมชาติอังกฤษ ได้ถึงถิ่นเวมบลีย์ ด้วยการยิงจุดโทษ 3-2 หลังเสมอกันในเวลา 120 นาที 1-1

ซึ่งล่าสุด มีการย้อนสถิติในการดวลจุดโทษตัดสิน พบว่า ทีมชาติอังกฤษมีสถิติที่ไม่ค่อยดีเท่าไร ในการดวลเป้าชี้ขาดในระดับเมเจอร์ 10 ครั้งล่าสุด (ฟุตบอลโลก / ฟุตบอลยูโร / เนชันส์ลีก) โดยแบ่งเป็นชนะแค่ 3 ครั้ง และแพ้ไป 7 ครั้ง

ด้านสถิติส่วนตัวกับทีมชาติอิตาลี ปรากฏว่า ทีมชาติอังกฤษ ยังไม่สามารถเอาชนะได้เลย จากการดวลจุดโทษใน 2 ครั้งล่าสุด โดยครั้งแรก อิตาลี เอาชนะไปได้ 4-2 หลังจากเสมอกันในเวลา 0-0 ในศึกยูโร 2012

ขณะที่ครั้งล่าสุด ในเกมนัดชิงฯ ยูโร 2020 อิตาลี ก็สามารถย้ำแค้น อังกฤษ เอาชนะได้อีกครั้ง ด้วยการเอาชนะในช่วงดวลจุดโทษไป 3-2 หลังเสมอในเวลา 1-1

ทำให้ อิตาลี กลายเป็นทีมที่มีสถิติดวลเป้าในศึกยูโร ดีที่สุดเป็นอันดับ 2 ด้วยการเก็บชัยชนะไปได้ 3 ครั้ง (ชนะเนเธอร์แลนด์ 1 ครั้ง และอังกฤษ 2 ครั้ง) เป็นรองเพียงแค่ สเปน ทีมเดียวเท่านั้น ที่มีสถิติเก็บชัยชนะในการดวลจุดโทษตัดสินในศึกยูโร ไปได้ทั้งสิ้น 4 ครั้ง

post

“อิตาลี” สร้างสถิติเก็บชัยรวด 10 เกมติดในรอบ 80 ปี

Football-288

ทีมชาติอิตาลี สร้างสถิติใหม่ด้วยการเก็บชัยชนะรวด 10 เกมติด ทุบสถิติเดิมเมื่อ 80 ปีก่อน

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานวันที่ 16 พ.ย. ว่า หลังจากที่ “อัซซูรี” ทีมชาติอิตาลี เจ้าของแชมป์ฟุตบอลโลก 4 สมัย (1934, 1938, 1982, 2006)

บุกไปเอาชนะ บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา หรือ “บอสเนีย” 3-0 ในศึกลูกหนังยูโร 2020 รอบคัดเลือก กลุ่มเจ เมื่อคืนนี้ ส่งผลให้ทัพมักกะโรนีทำสถิติใหม่ชนะรวด 10 นัดติด ทำลายสถิติเก่าเมื่อ 80 ปีที่แล้ว  

โดยสถิติดังกล่าวต่อเนื่องมาจากการคว้าชัยครั้งแรกในแมตช์อุ่นเครื่องที่พบกับทีมชาติสหรัฐอเมริกา เมื่อเดือน พ.ย. ปี 2018 และต่อจากนั้นภายใต้การคุมทัพของ โรแบร์โต มันชินี ที่ได้ทำการพาทีมเข้าวินรวดของศึกยูโร รอบคัดเลือกอีก 9 เกม

ทำให้เป็นชัยชนะ 10 เกมติดของทัพอัซซูรี ทำลายสถิติเดิมเมื่อปี 1938-1939 ซึ่งในปีนั้นทีมชาติอิตาลีผงาดคว้าแชมป์โลกสมัยสองที่ฝรั่งเศส ด้วยการเอาชนะ ฮังการี 4-2