post

ปารีส แซงต์-แชร์กแมง vs เรอัล มาดริด : พรีวิว ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก

Football-183

ความพร้อมทั้ง 2 ทีม

ปารีส แซงต์-แชร์กแมงเปแอสเช จะขาดผู้เล่นตัวหลักอย่าง เนย์มาร์ (โทษแบน) และ เอดินซอน คาวานี กับ คิเลียน เอ็มบัปเป้ (บาดเจ็บ) โดย เอริค มักซิม ชูโป-โมติง ที่กำลังฟอร์มร้อนแรงมีสิทธิ์เบียด เมาโร อิคาร์ดี้ ลงสนามในเกมนี้
นอกจากนี้ โธมัส ทูเคิล จะยังไร้ ยูเลียด ดรักซ์เลอร์, ธิโล เคห์เรอร์ และ โกแล็ง ดักบา จากปัญหาอาการบาดเจ็บด้วยเช่นกัน ขณะที่ เคย์ลอร์ นาบาส จะได้ดวลกับทีมเก่าหลังย้ายมาจาก เรอัล มาดริด เมื่อซัมเมอร์ที่ผ่านมา
จากที่ ทูเคิล มีปัญหาแข้งเดี้ยงระนาวจึงทำให้มีความเป็นไปได้ที่ มาร์ควินญอส จะถูกดันขึ้นไปเล่นเป็นกองกลางและ เปรสเนล คิมเป็มเบ้ ประจำการในตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็คแทนที่

https://twitter.com/PSG_English/status/1173643334004432900

เรอัล มาดริดอิสโก้ และ ลูก้า โมดริช ไม่สามารถลงช่วยทีมได้ในเกมนี้และคาดว่า ซีเนดีน ซีดาน จะใช้งาน ฮาเมส โรดริเกวซ ที่แดนกลาง ขณะที่ เอเด็น อาซาร์ ลงสนามเป็นตัวสำรองในครึ่งหลังของเกมที่ผ่านมาและมีความเป็นไปได้สูงที่เจ้าตัวจะได้ออกสตาร์ทตั้งแต่นาทีแรกในเกมนี้โดยมี แกเร็ธ เบล ประสานงานที่ฝั่งขวา
นาโช และ เซร์คิโอ รามอส ติดโทษแบนไม่สามารถลงเล่นได้โดยคาดว่า ซีดาน จะส่ง เอแดร์ มิลิเตา ประจำการแทนที่

https://twitter.com/realmadrid/status/1173871625487470592

สถิติที่น่าสนใจ

  • ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ออกสตาร์ทฤดูกาล 2019/20 ได้น่าประทับใจตามคาดกับสถิติ ชนะ 4 แพ้  1 โดยสามารถรักษาคลีนชีทได้ในเกมที่พวกเขาเอาชนะได้ทั้งหมด (ยิงได้ 7 เสีย 0) 

  • เรอัล มาดริด รั้งอันดับที่ 3 บนตารางคะแนน ลา ลีกา กับสถิติไร้พ่าย 4 เกมแรกในฤดูกาล 2019/20 (ชนะ 2 เสมอ 2) 

  • หากไม่นับรวมเกมนัดชิงชนะเลิศศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ที่แข่งขันในสนามกลางแล้ว สถิติการลงเล่นเป็นเกมทีมเยือนของ เรอัล มาดริด นับตั้งแต่ฤดูกาล 2017/18 พวกเขาเอาชนะได้ทั้งหมด 8 เกม แพ้ 2 โดย 3 จาก 4 แมตช์หลังสุดของพวกเขาในรอบแบ่งกลุ่มจบลงด้วยผลเสมอแบบไร้สกอร์

  • ฆวน เบร์นัต ยิงประตูเบิกร่องให้กับ เปแอสเช ในการลงเล่นเป็นทีมเยือนใน ยูซีแอล 2 เกมหลังสุดในฤดูกาล 2018/19 โดยทั้ง 2 ลูกเกิดขึ้นใน 15 นาทีแรกของเกม

  • คาริม เบนเซมา พัง 2 ประตูในเกมที่ผ่านมาและเป็นการยิงได้ภายในครึ่งแรกนับตั้งแต่เดือนมกราคมที่ผ่านมา
post

แอตเลติโก มาดริด vs ยูเวนตุส : พรีวิว ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก

Football-182

ความพร้อมทั้ง 2 ทีม

แอตเลติโก มาดริด

ทีมตราหมี สะดุด พ่าย เรอัล โซเซียดาด 2-0 ในเกมลีกนัดล่าสุด ทำให้เกมนี้ลูกทีมของ ดิเอโก้ ซิเมโอเน ต้องพยายามเก็บ 3 คะแนนในบ้านให้ได้เพื่อเรียกความมั่นใจกลับคืนมา แต่การต้องรับมือทีมอย่าง ยูเวนตุส ย่อมไม่ใชเรื่องง่าย การได้เล่นในบ้านพร้อมเสียเชียร์จากแฟน ๆ ใน วานต๋า น่าจะทำให้พวกเขาได้เปรียบเรื่องสภาพจิตใจ อีกทั้งซีซั่นก่อนที่สนามแห่งนี้ ขุนพล แอตฯ มาดริด เคยเปิดบ้านเอาชนะ ม้าลาย มาแล้ว 2-0

ความพร้อมล่าสุด ทีมจะไม่สามารถใช้งานนักเตะได้ 3 ราย อัลบาโร โมราต้า และ ซิเม เวอร์ซัลจ์โก้ ที่มีอาการเจ็บที่หัวเข่าทั้งคู่ ส่วนอีกรายคือ โทมัส ที่พึ่งหายจากอาการบาดเจ็บมาไม่นาน อาจจะมีชื่อแค่บนม้านั่งสำรอง ด้านตัวหลักอื่น ๆ พร้อมลงสนามทั้งหมด คาดว่าทีมตราหมี จะรอตั้งรับและหาจังหวะสวนกลับตามแบบที่พวกเขาถนัด ให้ คอสต้า และ เฟลิกซ์ ยืนเป็นคู่หูในแดนหน้าใช้ความคล่องตัวและความแข็งแกร่งเจาะแนวรับของ ยูเวนตุส ในเกมนี้

https://twitter.com/Atleti/status/1174030303331065856

ยูเวนตุส

ผลงานในซีซั่นนี้ยังดูไม่ลงตัวมากนักสำหรับทีมม้าลาย ภายใต้การคุมทีมของ เมาริซิโอ ซาร์รี โดยเกมนัดล่าสุดบุกไปเสมอกับ ฟิออเรนตินา แบบไร้สกอร์ ทำให้การมาเยื่อน แอตเลติโก้ มาดริด วันนี้จะเป็นงานหนักของพวกเขาอย่างแน่นอน ที่จะต้องเจอกับแนวรับที่แข็งแกร่งที่สุดทีมหนึ่งในยุโรป ต้องมาดูกันว่า อดีตผู้จัดการทีมเชลซี จะมีทีเด็ดอะไรมาใช้ฉีกแนวรับของเจ้าบ้านในค่ำคืนวันนี้

ทีมดังจากตูริน มีปัญหาผู้เล่นตัวหลักบาดเจ็บพอสมควร โดยมีนักเตะที่ไม่สามารถลงสนามได้ถึง 7 คน จอร์จิโอ คิเอลลินี, ดักลาส คอสต้า, มัตเตีย เปริน, มัตเตีย เด ชีโย สี่รายนี้ยังมีอาการบาดเจ็บอยู่ ส่วนอีกสามรายที่ต้องรอเช็คความพร้อมก่อนเกมคือ ดานิโล, มาร์โก้ ชาก้า, มิราเล็ม ปานิช

https://twitter.com/juventusfcen/status/1174035346713206785

สถิติที่น่าสนใจ

  • แอตเลติโก มาดริด ไม่แพ้ใครในบ้านมาแล้ว 9 เกมติดต่อกัน หากนับเฉพาะเกมอย่างเป็นทางการ

  • ทั้งสองทีมพึ่งจะโคจรมาพบกันในรอบ 8 ทีมสุดท้ายเมื่อซีซั่นก่อน และต่างคนต่างเอาชนะในบ้านของตัวเองได้โดยอีกทีมไม่สามารถบุกมาทำประตูได้เลย ผลสุดท้ายเป็น ยูเวนตุส เอาชนะไปด้วยประตูรวม 3-2

  • คริสเตียโน โรนัลโด้ คือจอมยิงประตูทีมตราหมี หลังซัดไปแล้วกว่า 25 ประตูตลอด 31 เกมที่เคยพบกันมา โดยเกมล่าสุดเป็นเกมที่ทีมม้าลาย เปิดบ้านรับการมาเยือนของ แอตฯ มาดริด ในเกม ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก เมื่อวันที่ 13 มีนาคม ที่ผ่านมาและ ซีอาร์ 7 ทำแฮตทริกได้ในเกมนั้น

  • ทีมดังแห่งเมืองตูริน ยังไม่เคยบุกมาทำประตูที่สนามแห่งนี้ได้เลย นับตั้งแต่ที่ทั้งสองทีมเคยพบกันมา
post

เชลซี 0-1 บาเลนเซีย : เก็บตก 4 ประเด็นที่เราเรียนรู้หลังเกม แชมเปี้ยนส์ลีก

Football-177

4. ความเป็นไปของเกม

Football-178

แฟรงค์ แลมพาร์ด ยังคงศรัทธาในบรรดานักเตะดาวรุ่งและใช้รูปแบบการเล่น 3 เซ็นเตอร์แบ็คเป็นนัดที่ 2 ติดต่อกันหลังจากถล่ม วูล์ฟส 5-2 ในเกมที่ผ่านมาโดยมี ฟิกาโย โทโมรี เดบิวต์ให้ทีมและ เคิร์ท ซูมา ออกสตาร์ทโดยมี เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า กับ มาร์คอส อลอนโซ ขนาบข้าง

แผนการดังกล่าวดูดีอยู่ช่วงหนึ่งทว่าพวกเขาขาดทีเด็ดทีขาดเปลี่ยนเกม แม้การเปลี่ยนเอา โอลิวิเยร์ ชิรูด์ ลงสนามแทนที่ ซูมา ก็ไม่ได้ช่วยให้จังหวะสุดท้ายของพวกเขาดีขึ้นเท่าใดนัก นอกจากนี้ แลมพาร์ด ยังต้องเสีย เมสัน เมาท์ ตั้งแต่ช่วงต้นเกมจากอาการบาดเจ็บอีกด้วย

3. วิลเลียน โดดเด่นที่แดนหน้า

Football-179

วิลเลียน กลายเป็นนักเตะที่สร้างสรรค์เกมให้กับ สิงห์บลู ได้โดดเด่นที่สุดในค่ำคืนนี้เมื่อสามารถสร้างปัญหาให้กับแนวรับของ บาเลนเซีย ได้หลายต่อหลายครั้งเพียงแค่จังหวะสุดท้ายของเจ้าตัวที่ไม่ลงตัวเท่านั้น

2. อีก 1 แข้งเดี้ยงของ สิงห์บลู

Football-180

การบาดเจ็บของ เมสัน เมาท์ ทำให้ แฟรงค์ แลมพาร์ด มีลูกทีมคีย์แมนอยู่ในห้องพักฟื้น 4 รายเข้าไปแล้วเมื่อรวมกับ อันโตนิโอ รือดิเกอร์, เอเมอร์สัน พัลมิเอรี และ เอ็นโกโล ก็องเต้ ซึ่งน่าเป็นห่วงสำหรับ สิงห์บลู เมื่อพวกเขามีคิวเปิดบ้านรับการมาเยือนของ ลิเวอร์พูล ในวันอาทิตย์ที่จะถึงนี้

1. ความมั่นใจผิดที่ผิดเวลา

Football-181

รอสส์ บาร์คลีย์ ถูกส่งลงสนามเพียงแค่ 7 นาทีก่อนที่เขาจะรับอาสายิงลูกจุดโทษในช่วงท้ายเกมในสถานการณ์ที่ทีมต้องการประตูเพื่อตีเสมอแม้ว่า วิลเลียน ที่เล่นได้อย่างเข้าฝักในเกมนี้จะแสดงท่าทีต้องการทำหน้าที่ดังกล่าวด้วยเช่นกัน ซึ่งดูเหมือนว่า แลมพาร์ด อาจต้องจัดการคนรับหน้าที่ดังกล่าวก่อนที่จะมีประเด็นอย่างที่มีตัวอย่างที่เกิดขึ้นเร็วๆ นี้กับเพื่อนร่วมลีกอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มาแล้ว

post

นาโปลี 2-0 ลิเวอร์พูล : 5 ประเด็นที่เราเรียนรู้หลังเกม

Football-171

5. เมเร็ต สวมบทพระเอก

Football-172

อเล็กซ์ เมเร็ต งัดเซฟสำคัญช่วยทีมไว้ได้อย่างยอดเยี่ยมโดยเฉพาะกับช็อตที่ช่วยชีวิตของ คาสตอส มาโนลาส ที่ทำบอลลั่นไปเข้าทางของ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ทำให้สกอร์ยังคงเป็น 0-0 ก่อนที่ นาโปลี จะได้ 2 ประตูในช่วงท้ายเกมคว้าชัยชนะไปได้ในที่สุด

4. อาเดรียน ไม่น้อยหน้า

Football-173

แม้ว่า นาโปลี จะเป็นฝ่ายได้ 2 ประตูในช่วงท้ายเกมทำให้พวกเขาเอาชนะไปได้แต่การป้องกันที่โดดเด่นของ อาเดรียน ทำให้พวกเขายังสามารถรักษาสกอร์ไว้ที่ 0-0 อยู่ได้กว่า 80 นาทีโดยเฉพาะการบินปัดมือเดียวช็อตแท็ปอินของ เมอร์เทนส์ น่าเสียดายที่เจ้าตัวต้องถูกลูกจุดโทษเล่นงานต่อด้วยความผิดพลาดของแนวรับที่มอบของขวัญให้กับ เฟร์นานโด ยอเรนเต้ ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ

3. สถิติของ หงส์แดง

Football-174

ลิเวอร์พูล กลายเป็นทีมแชมป์เก่าในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก สโมสรแรกที่ปราชัยในนัดประเดิมสนามของซีซันใหม่ต่อจาก เอซี มิลาน ในฤดูกาล 1994/95

หงส์แดง ยังสามารถรักษาคลีนชีทได้เพียง 1 เกมจาก 8 นัดที่ผ่านมาในฤดูกาลนี้อีกด้วย

2. เมอร์เทนส์ วูบวาบ

Football-175

ดรีส์ เมอร์เทนส์ พังประตูที่ 11 ของเจ้าตัวในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ก่อนที่พวกเขาจะคว้าชัยได้สำเร็จ เจ้าตัวยังเป็นคงฉกลูกจ่ายของ เวอร์จิล ฟาน ไดค์ ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บก่อนผ่านต่อให้ เฟร์นานโด ยอเรนเต้ ยิงตอกฝาโลงรวมทั้งยังมีส่วนกับการสร้างความปั่นป่วนให้กับแนวรับของ หงส์แดง ตลอดทั้งเกมนี้อีกด้วย

1. ซาลาห์ ไร้ประตูในเกมเยือนอีกครั้ง

Football-176

โอกาสของทั้ง 2 ทีมในเกมนี้มีอยู่อย่างจำกัดจำเขี่ยเมื่อต่างฝ่ายต่างระวังหลังบ้านกันสุดฤทธิ์โดย ซาลาห์ ไม่สามารถสร้างสรรค์โอกาสให้กับทั้งตัวเองและเพื่อนร่วมทีมได้ดีพอเมื่อเทียบกับมาตรฐานของเจ้าตัวเมื่อเจอกับแนวรับของ นาโปลี ทำให้เจ้าตัวไม่สามารถยิงประตูในการเล่นเป็นทีมเยือนมา 3 เกมติดต่อกันเข้าไปแล้วในฤดูกาลนี้

post

โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ 0-0 บาร์เซโลนา : เก็บตกทุกประเด็นร้อนหลังเกม แชมเปี้ยนส์ลีก

Football-165

บาร์เซโลนา ทำได้เพียงเสมอกับ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ในแมตช์ประเดิมสนาม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบแบ่งกลุ่มแบบไร้สกอร์โดย มาร์ค-อังเดร แทร์ สเตเก้น งัดฟอร์มพระเอกเซฟจุดโทษให้กับทัพ อาซูลกรานา

เกมเริ่มต้นขึ้นด้วยโอกาสอย่างถนัดถนี่ของ มาร์โก้ รอยส์ ในช่วงต้นเกมแต่ไม่สามารถจบสกอร์ผ่าน แทร์ สเตเก้น ได้ ตามมาด้วย จาดอน ซานโช ยิงไกลข้ามคานออกไปก่อนจบครึ่งแรกเพียงไม่กี่นาที

Football-166

หลุยส์ ซัวเรซ ได้จังหวะยิงหวังผลแต่ถูก โรมัน เบอร์กี้ เซฟพ้นอันตรายไว้ก่อนที่ เนลสัน เซเมโด้ จะเข้าสกัด ซานโช ทำให้ทีมเสียลูกจุดโทษโดย รอยส์ รับหน้าที่สังหารแต่เจ้าตัวยิงไปติดเซฟนายทวารเพื่อนร่วมชาติ ดาวเตะ เสือเหลือง พยายามที่จะตามเข้าไปซ้ำแต่ แทร์ สเตเก้น ก็ลุกขึ้นมาคว้าบอลไว้ได้ทัน

ก่อนที่จะจบเกม ยูเลียน บรันด์ท ถูกส่งลงสนามในฐานะตัวสำรองและได้สับไกยิงจากนอกกรอบเขตโทษ บอลพุ่งวาบชนคานอย่างจังเป็นจังหวะได้ลุ้นเหน่งๆ ครั้งสุดท้ายของเกมก่อนที่จะสิ้นเสียงนกหวีดยาวด้วยผลเสมอ 0-0

โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์

ประเด็นสำคัญหลังเกม

Football-167

พลพรรค เสือเหลือง ภายใต้การคุมทีมของ ลูเชียง ฟาฟร์ มักเป็นฝ่ายครอบครองบอลได้มากกว่าคู่แข่งเมื่อพวกเขาลงเล่นในศึก บุนเดสลีกา แต่สำหรับเกมกับ บาร์ซา พวกเขายืดหยุ่นปรับเกมให้เหมาะเมื่อเจอคู่ต่อสู้ที่เล่นเท้าสู่เท้าได้อย่างเป็นเลิศ

ดอร์ทมุนด์ ยินดีที่จะกระชับพื้นที่ของพวกเขาเองเพื่อสร้างความลำบากให้กับทีมเยือนโดยมี มัตส์ ฮุมเมลส์ เป็นผู้นำในแนวรับ ขณะที่แนวรุกรอบจัดของพวกเขาทั้ง จาดอน ซานโช, มาร์โก้ รอยส์ และ ธอร์แกน อาซาร์ คอยสนับสนุน ปาโก้ อัลคาเซร์ จากการเคลื่อนบอลจังหวะเดียวที่รวดเร็วโจมตีพื้นที่ว่างที่ด้านหลังของทัพ อาซูลกรานา

คะแนนนักเตะ

ผู้เล่น 11 คนแรก: เบอร์กี้ (6); ฮาคิมี (7), อคานยี (7), ฮุมเมลส์ (9*), เกร์เรย์โร (6); วิตเซลl (8), เดลานีย์ (6), รอยส์ (7); ซานโช (8), อาซาร์ (7), อัลคาเซร์ (6).

ตัวสำรอง: บรันด์ท (6), ลาร์เซน (6)

คีย์แมน – มัตส์ ฮุมเมลส์

Football-168

เมื่อครั้งที่ ฮุมเมลส์ ตอบรับการย้ายกลับมาร่วมทัพ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ อีกครั้งในซัมเมอร์ที่ผ่านมา เสียงของแฟน เสือเหลือง แตกเป็น 2 ฝ่ายเมื่อฝั่งหนึ่งยินดีกับการรีเทิร์นถิ่นเก่าอีกคำรบ ขณะที่อีกฝั่งหนึ่งค่อนขอดว่าเป็นการเซ็นสัญญาที่พวกเขาถูก บาเยิร์น มิวนิค ขูดรีด

ทว่าเกมในวันนี้ก็แสดงให้เห็นชัดแล้วว่า ฮุมเมลส์ ยังคงเตะปี๊บดังเมื่อเซ็นเตอร์แบ็ควัย 30 ปีกลายเป็นผู้นำในแดนหลังของ ดอร์ทมุนด์ โดดเด่นกับทั้งการเข้าสกัดและการเซ็ตบอลจากแดนหลัง ซึ่งเป็นการยกระดับ เสือเหลือง จากฤดูกาลที่ผ่านมาอีกด้วย

บาร์เซโลนา

ประเด็นสำคัญหลังเกม

Football-169

แม้ว่า บาร์เซโลนา จะเป็นฝ่ายรักษาการครอบครองบอลเมื่อเวลาของเกมผ่านไปแต่พวกเขากลับไม่สามารถสร้างโอกาสที่ชัดเจนได้จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปถึงใกล้จะหมดครึ่งแรกตรงกันข้ามกับเจ้าถิ่นอย่างชัดเจน

เห็นได้ชัดว่า เสือเหลือง เป็นฝ่ายที่เล่นได้ตามแท็คติกและรูปเกมเข้าทางพวกเขามากกว่าแม้ว่าทีมเยือนจะส่ง ลิโอเนล เมสซี ลงมาประเดิมสนามนัดแรกของฤดูกาลก็ตาม

คะแนนนักเตะ

11 ผู้เล่นตัวจริง: แทร์ สเตเก้น (8*); เซเมโด้ (6), ปิเก้ (7), ล็องเลต์ (6), อัลบา (6); อาร์ตูร์ (7), บุสเก็ตส์ (7), เดอ ยอง (7); ฟาติ (7), ซัวเรซ (6), กรีซมันน์ (7)

ตัวสำรอง: โรแบร์โต้ (6), เมสซี (7), ราคิติช (6)

คีย์แมน – มาร์ค-อังเดร แทร์ สเตเก้น

Football-170

นายทวารมือหนึ่งของ บาร์เซโลนา กลายเป็นพระเอกในเกมนี้เมื่อก้าวขึ้นมางัดเซฟป้องกันลูกจุดโทษของ มาร์โก้ รอยส์ ช่วยให้ทีมรอดพ้นจากความพ่ายแพ้ที่ เวสต์ฟาเลนสตาดิโอน แถมด้วยโอกาสของเจ้าถิ่นที่สุ่มเสี่ยงจะเสียประตูในช่วงท้ายเกม

post

ทีมยอดแย่พรีเมียร์ลีก แข้งแมนซิ,อาร์เซน่อล สุดบู่รับรั่ว

Football-159

มาดูทีมยอดแย่ประจำสัปดาห์กันบ้าง สัปดาห์นี้นำโดยบรรดาแนวรับที่พร้อมใจกันทำผลงานย่ำแย่ จะมีใครบ้างไปดูกันได้เลย

ผู้รักษาประตู : รุย ปาทริซิโอ(วูล์ฟส์)

Football-160

    เป็นวันที่แย่ของนายด่านทีมชาติโปรตุเกสจริงๆ โดนยิงในบ้านตัวเองถึง 5 ลูก และทีมก็แพ้ไปย่อยยับ ซึ่งนับเป็นการเสีย 5 ประตูในโมลินิวซ์ ครั้งแรกนับตั้งแต่พ่าย แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 0-5 เมื่อเดือนมีนาคม ปี 2012

กองหลัง : โรเมน ซาอิสส์(วูล์ฟส์)

    โดนแนวรุกเชลซีเล่นงานจนเสียกระบวนท่า เกมนี้เขาไม่สามารถตัดบอลได้เลยสักครั้ง

กองหลัง : อาร์เธอร์ มาซูอากู(เวสต์แฮม)

    เข้าบอลไม่ระวังจนโดนใบเหลืองที่สอง ไล่ออกจากสนาม

กองหลัง : นิโกลัส โอตาเมนดี้(แมนฯซิตี้)

Football-161

    น่าโดนตำหนิที่สุดที่พลาดเสียบอลหน้าประตูตัวเองจนทำให้ทีมเสียประตู แถมตลอดทั้งเกมยังดูไม่น่าเชื่อใจได้เลย

กองหลัง : โซคราติส(อาร์เซน่อล)

Football-162

    หากใครได้ดูเกมนี้ หรือดูไฮไลท์ คงทราบดีถึงความผิดพลาดของแนวรับทีมชาติกรีซคนนี้ ไม่มีเหตุผลใดๆเลยที่เขาจะต้องทำแบบนั้น

กองหลัง : พาทริก ฟาน อันโฮลท์(คริสตัล พาเลซ)

    โชคร้ายบอลมาโดนตัวเปลี่ยนทางเป็นประตู อย่างไรก็ตามผลงานโดยรวมของ ฟาน อันโฮลท์ ไม่ได้ดีเท่าไหร่เลย

กองกลาง : จอนโจ้ เชลวี่ย์(นิวคาสเซิ่ล)

    เล่นต้นเกมทำท่าจะเล่นดี แต่พอเวลาเดินไปเรื่อยๆ ก็ถูกผู้เล่นลิเวอร์พูล จัดการอยู่หมัด

กองกลาง : ดาบิด ซิลบา(แมนฯซิตี้)

Football-163

    สร้างสรรค์เกมรุกให้ซิตี้ ไม่ดีเลย เล่นไม่ออก เป็นเกมที่เขาเล่นได้แย่มาก จนต้องถูกเปลี่ยนตัวออกตั้งแต่ช่วงต้นครึ่งหลัง

กองกลาง : อิลคาย กุนโดกัน(แมนฯซิตี้)

    อีกหนึ่งแข้งเรือใบสีฟ้าที่โชว์ฟอร์มต่ำกว่ามาตรฐานและก็ถูกเปลี่ยนตัวออกในเวลาไล่เลี่ยกับดาบิด ซิลบา

กองหน้า : เจมี่ วาร์ดี้(เลสเตอร์)

Football-164

    โดนแนวรับแมนฯยูไนเต็ด ตามประกบจนเล่นไม่ออก และตามสถิติพบว่าวาร์ดี้ ไม่มีโอกาสง้างเท้าทำประตูเลยสักครั้งในเกมนี้

กองหน้า : เวสลี่ย์(แอสตัน วิลล่า)

post

แข้งเชลซีโดดเด่น-นอริชไม่น้อยหน้า ติดทีมยอดเยี่ยมพรีเมียร์ลีก นัดที่ 5

Football-149

ทีมยอดเยี่ยมประจำสัปดาห์พรีเมียร์ลีก นัดที่ 5 ผู้เล่นจากเชลซี ติดทีมมากที่สุด ส่วนนักเตะจากทีมล้มยักษ์ นอริช ก็ติดมาเช่นเดียวกัน ที่เหลือจะมีใครบ้าง ไปดูกันได้เลย

ผู้รักษาประตู : ลูคัส ฟาเบียงสกี้(เวสต์แฮม)

    ช่วยเซฟประตูให้กับขุนค้อนได้ถึง 5 ครั้ง พาทีมรอดพ้นจากความพ่ายแพ้ในค่ำคืนที่เวสต์แฮม ต้องเหลือผู้เล่น 10 คน

กองหลัง :  แฮร์รี่ แม็กไกวร์(แมนฯยูไนเต็ด)

Football-150

    ทำหน้าที่ได้ดีในเกมที่เผชิญหน้ากับทีมเก่า แม็กไกวร์ ดวลเอาชนะผู้เล่นเลสเตอร์ ได้ถึง 6 จาก 10 ครั้ง, 4 ครั้งในเรื่องลูกกลางอากาศ รวมถึงเคลียร์บอลได้ 5 ครั้ง และแย่งบอลคืนกลับมาได้อีก 6 ครั้ง 

กองหลัง : ฟิคาโย่ โทโมริ(เชลซี)

Football-151

    แนวรับวัย 21 ปี ได้รับโอกาสเป็นตัวจริง และทำประตูได้อย่างสุดสวย เรื่องเกมรับโทโมริ ยังจัดการราอูล ฮิเมเนซ ได้อยู่หมัด

กองหลัง : แซม บายรัม(นอริช)

Football-152

    แม้ทีมจะเสียสองประตู แต่ความโดดเด่นของแบ็กขวา วัย 26 ปี รายนี้ 

กองกลาง : เมสัน เมาท์(เชลซี)

    ยิ่งเล่นยิ่งดี และเป็นนักเตะที่แฟร้งค์ แลมพาร์ด โปรดปรานมากเป็นพิเศษ เกมนี้ยังยิงประตูได้อีกด้วย

กองกลาง : เคนนี่ แม็คลีน(นอริช)

Football-153

    มิดฟิลด์เลือดสกอตช์ เล่นได้ดีเหลือเกิน แถมยังยิงประตูใส่แชมป์เก่าได้ เล่นเกมรับได้ดีมากคอยไล่ตัดเกมของแมนซิตี้ โดยเกมนี้เขาเคลียร์บอลได้ 7 ครั้ง

กองกลาง : เอมิเลียโน่ บุนเดีย(นอริช)

Football-154

    อีกหนึ่งผู้เล่นสุดโดดเด่นของนกขมิ้นเหลืองอ่อน แม้จะไม่มีประตูเขาเพลย์เมคเกอร์ฟ้า-ขาว วัย 22 ปี ก็จัดแอสซิสต์ให้เพื่อนได้ 2 ครั้ง ไม่แปลกที่เขาจะได้รับฉายาจอมแอสซิสต์แห่งศึกแชมเปี้ยนชิก เมื่อซีซั่นที่แล้ว

กองกลาง : มูสซ่า เฌเนโป้(เซาธ์แฮมป์ตัน)

Football-155

    ปีกจอมเลื้อยชาวมาลี ซัดประตูชัยให้เซาธ์แฮมป์ตัน บุกฉกสามแต้มจากถิ่นเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด

กองหน้า : ซน ฮึง-มิน(สเปอร์ส)

Football-156

    อาซนเล่นได้เด่นสุดเกินใครในทีมสเปอร์ส เขามักจะทำประตูได้บ่อยๆเมื่อได้เล่นที่ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ สเตเดี้ยม ซึ่งตามสถิติก็บอกว่าเขาคือดาวซัลโวที่สนามแห่งนี้ โดยยิงได้ 4 จาก 7 นัดที่นี่

กองหน้า : แทมมี่ อับราแฮม(เชลซี)

Football-157

    ฟอร์มฮอตเกินห้ามใจ หลังก่อนหน้านี้ 2 เกม ยิงได้ 2 ประตูทั้งสองนัด มาเกมนี้ เจ้าหนูแทมมี่จัดแฮตทริกมาฝากแฟนๆสิงห์บลูส์ ซึ่งทำให้เขาเป็นนักเตะคนที่สามในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก ที่ทำประตูได้อย่างน้อย 2 ลูก 3 เกมติด ในช่วงอายุต่ำกว่า 21 ปี ต่อจาก คริสเตียโน่ โรนัลโด้ เมื่อปี 2006 และ เดเล่ อัลลี เมื่อปี 2017

    นอกจากนี้อับราแฮม ยังเป็นนักเตะคนแรกที่ยิงแฮตทริกและทำเข้าประตูตัวเองได้ในเกมเดียวกัน

กองหน้า : ซาดิโอ มาเน่(ลิเวอร์พูล)

Football-158

    ยิงประตูด้วยความเฉียบคมพาลิเวอร์พูล ยิงประตูตีเสมอนิวคาสเซิ่ล เขาเป็นคนแรกที่เล่นในบ้านตัวเองแล้วทีมไม่เคยแพ้ใคร 50 นัดติดต่อกัน

post

ใคร?คาร์ราเกอร์ชี้แข้งจุดอ่อนไม่เหมาะกับแมนซิตี้

Football-148

เจมี่ คาร์ราเกอร์ ระบุ ในขุมกำลังของ แมนฯ ซิตี้ ในตอนนี้นั้น คนที่ตนคิดว่าไม่เก่งพอที่จะเล่นให้ทีมคือ นิโกลัส โอตาเมนดี้ พร้อมเผย ไม่เคยชอบฝีเท้าของ โอตาเมนดี้ ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

    เจมี่ คาร์ราเกอร์ อดีตยอดกองหลังของ ลิเวอร์พูล สโมสรยักษ์ใหญ่ของศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ กล่าวว่า นิโกลัส โอตาเมนดี้ ปราการหลังชาวอาร์เจนไตน์ของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไม่มีคุณภาพดีพอที่จะเล่นให้ “เรือใบสีฟ้า”

    โอตาเมนดี้ เล่นผิดพลาดอย่างหนักในเกมลีกนัดล่าสุดที่ต้นสังกัดของเขาออกไปแพ้ นอริช ซิตี้ 2-3 เมื่อวันเสาร์ที่ 14 กันยายน ที่ผ่านมา ซึ่งมันก็ส่งผลเสียต่อการลุ้นแชมป์ลีกตั้งแต่ต้นฤดูกาล เพราะตอนนี้ แมนฯ ซิตี้ ตามหลัง ลิเวอร์พูล ที่เป็นจ่าฝูงอยู่ 5 แต้มด้วยกัน

“เขาพุ่งเข้าหาคู่แข่งแบบทะเล่อทะล่า เขาทำอย่างนั้นมาตลอดอาชีพการเล่นของเขา เขาจะไม่มีวันเปลี่ยนสไตล์การเล่นของตัวเองแน่ๆ และนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาไม่ดีพอที่จะเล่นให้ทีมอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ผมไม่เคยเชื่อมั่นในฝีเท้าของเขามาตั้งแต่แรกแล้ว และสิ่งที่ผมเห็นตลอดช่วง 4 หรือ 5 ปีที่ผ่านมามันก็ไม่ได้เปลี่ยนความคิดของผมเลยแม้แต่นิดเดียว” คาร์ราเกอร์ เผย

post

อดีตแข้งลิเวอร์พูลมั่นใจค่าตัวซาลาห์,มาเน่สูงลิบแน่นอน

Football-147

จอห์น อัลดริดจ์ อดีตศูนย์หน้า ลิเวอร์พูล มั่นใจ ถ้าหาก โมฮาเหม็ด ซาลาห์ หรือ ซาดิโอ มาเน่ ย้ายออกจาก “หงส์แดง” ทั้งคู่ก็น่าจะมีค่าตัวสูงกว่า 100 ล้านปอนด์ พร้อมชี้ รายของ มาเน่ ต้องชม เจอร์เก้น คล็อปป์ และทีมงานที่ฝึกเจ้าตัวได้ดีจนกลายเป็นเครื่องจักรถล่มประตูแล้ว

    มาเน่ ย้ายมาอยู่กับ ลิเวอร์พูล เมื่อช่วงซัมเมอร์ ปี 2016 ด้วยค่าตัว 34 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1,292 ล้านบาท) ขณะที่ ซาลาห์ เข้ารั้ว แอนฟิลด์ ในอีก 1 ปีต่อมา หลังจากทีมของกุนซือ เจอร์เก้น คล็อปป์ จ่ายค่าตัวไปรวมแล้ว 50 ล้านยูโร (ประมาณ 1,700 ล้านบาท) และทั้งคู่ก็กลายเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าของ ลิเวอร์พูล หลังจากพวกเขาทำประตูได้เป็นกอบเป็นกำ แถมซีซั่นก่อนก็พาทีมได้แชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ไปครองด้วย

    อัลดริดจ์ กล่าวผ่านคอลัมน์ของเขาใน ไอริช อินเดเพนเดนท์ สื่อของประเทศาธารณรัฐไอร์แลนด์ว่า “มาเน่ เป็นเพียงนักเตะที่คนยังไม่เป็นที่รู้จักมากนักในตอนที่ ลิเวอร์พูล คว้าตัวเขามาจาก เซาธ์แฮมป์ตัน เมื่อช่วงซัมเมอร์ ปี 2016 ถึงแม้ว่าเขาจะมีความเร็วที่ยอดเยี่ยมเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่ คล็อปป์ กับทีมสตาฟฟ์ของเขาก็ฝึกเขาเป็นอย่างดีจนทำให้เขากลายเป็นจอมถล่มประตูชั้นยอดในช่วง 2 ฤดูกาลที่ผ่านมา”

    “เขาเป็นคนที่มีลุ้นทำประตูให้ทีมได้ทุกเมื่อเหมือนกับ ซาลาห์ ไปแล้ว และถ้า ลิเวอร์พูล ตัดสินใจที่จะขายใครสักคน พวกเขาก็น่าจะมีค่าตัวเกิน 100 ล้านปอนด์แบบสบายๆ แต่แน่นอนว่ามันไม่มีทางเกิดขึ้นน่ะนะ! (หมายถึงเชื่อว่า ลิเวอร์พูล ไม่มีวันประกาศขายทั้งคู่)”

post

แลมพ์เผย ก็องเต้-โอดอย ยังไม่พร้อมคัมแบ็กสิงห์

Football-146

  แฟร้งค์ แลมพาร์ด ผู้จัดการทีม เชลซี สโมสรยักษ์ใหญ่ของพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ยืนยันว่า เอ็นโกโล่ ก็องเต้ มิดฟิลด์ของทีม รวมทั้ง คัลลั่น ฮัดสัน-โอดอย และ รีซ เจมส์ 2 ดาวรุ่งยังไม่พร้อมกลับมาลงสนามกับ “เดอะ บลูส์” สำหรับเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก กับ บาเลนเซีย  ก็องเต้ ไม่มีส่วนร่วมกับทัพ “สิงห์บลูส์” ตลอด 3 นัดหลังสุด เนื่องจากประสบปัญหาบาดเจ็บบริเวณข้อเท้า  รวมทั้ง “สิงโตน้ำเงินคราม” ยังไม่มีกองกลางทีมชาติฝรั่งเศส สำหรับแมตช์เปิดสังเวียนสแตมฟอร์ด บริดจ์ ของตัวเองรับการมาเยือนของ “ค้างคาว” ในเกมแชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม นัดแรก วันอังคารนี้  “เจมส์ (รีซ เจมส์), ฮัดสัน-โอดอย และ ก็องเต้ กลับมาฟิตแล้ว แต่ยังไม่พร้อมสำหรับแมตช์นี้ พวกเขาจะต้องลงเล่นกับเกมในชุด U23 อีกสักหน่อย ก่อนกลับมาลงสนามกับทีมชุดใหญ่” แลมพาร์ด กล่าว