post

แรชฟอร์ดฮีโร่เบิ้ล! แมนยูย้ำแค้นเบียดเชลซีลิ่วรอบ8ทีม คาราบาวคัพ

Football-279

มาร์คัส แรชฟอร์ด ดาวยิง “ปีศาจแดง” สวมบทฮีโร่เหมาคนเดียว 2 ประตูพาทีมบุกเชือด เชลซี 2-1 หยุดความร้อนแรงของทัพ “สิงห์บลูส์” เฮ 3 เกมรวดในทุกรายการ ลอยลำเข้าไปเล่นรอบ 8 ทีมสุดท้ายสำเร็จ ในศึกฟุตบอล คาราบาว คัพ (รอบ 16 ทีมสุดท้าย) คืนวันพุธที่ผ่านมา

สนาม : สแตมฟอร์ด บริดจ์

    แฟร้งค์ แลมพาร์ด กุนซือเชลซี พาทีมเข้ารอบนี้ หลังชนะกริมสบี้ 7-1 ก่อนชนะเบิร์นลี่ย์ 4-2 ในเกมลีกล่าสุด เป็นการคว้าชัย 7 นัดติด

    ทางด้าน โอเล่ กุนนาร์ โซลชา กุนซือแมนฯ ยูไนเต็ด พาทีมเข้ารอบนี้ หลังชนะจุดโทษรอชเดล ก่อนชนะนอริช ซิตี้ 3-1 ในเกมล่าสุด เป็นชัยชนะ 2 นัดติด

    ครึ่งแรกผ่านมา 10 นาทีรูปเกมยังค่อนข้างอึดอัดเล่นแบบรัดกุมด้วยกันทั้งคู่แต่เป็น “สิงห์บลูส์” ที่ครองบอลดีกว่านิดหน่อย ส่วนทาง “ปีศาจแดง” มาเสียใบเหลืองเร็วจากจังหวะ สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ เสียบอันตรายใส่ มาเตโอ โควาซิช

    นาทีที่ 13 “ปีศาจแดง” เกือบได้ประตูขึ้นนำจากลูกเตะมุมทางฝั่งขวาของ แดเนี่ยล เจมส์ เล่นลูกสูตรจ่ายสั้นเข้ากรอบเขตโทษ และเป็น สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ วิ่งเข้ามาซัดด้วยขวาเฉียดเสาไปนิดเดียว

    แต่แล้วนาทีที่ 24 “ปีศาจแดง” มาได้ลูกจุดโทษอีกแล้วจากจังหวะ มาร์กอส อลอนโซ่ ไปเบียด แดเนี่ยล เจมส์ ร่วงลงไปกองกับพื้น ก่อนเป็น มาร์คัส แรชฟอร์ด รับหน้าที่สังหารคราวนี้ไม่พลาด เชลซี 0 แมนฯ ยูไนเต็ด 1

    ก่อนหมดครึ่งแรกนาทีที่ 35 เป็นเกมที่แฟนบอลทั้งสองทีมค่อนข้างอึดอัดโอกาสยิงประตูมีน้อยเน้นไปที่การสู้กันในแดนกลางมากกว่า โดยเฉพาะ เจ้าถิ่นยังซัดไม่ตรงกรอบซักครั้ง

    นาทีต่อมาเป็น เจสซี่ ลินการ์ด รับบอลจาก มาร์คัส แรชฟอร์ด หน้ากรอบเขตโทษก่อนลองปั่นโค้งด้วยขวาแต่บอลเบาไปเข้ามือ วิลลี่ กาบาเยโร่ รับไว้ไม่ยาก

    หมดครึ่งเวลาแรก เชลซี 0 แมนฯ ยูไนเต็ด 1

    ครึ่งหลังนาทีที่ 50 “สิงห์บลูส์” พลาดโอกาสทิงตีเสมอจากจังหวะขึ้นเกมทางริมเส้นฝั่งซ้าย มาร์กอส อลอนโซ่ ก่อนปาดเข้ากลางให้ คัลลั่ม ฮัดสัน-โอดอย ยิงผิดเหลี่ยมบอลไหลผ่านหน้าประตูออกหลังเหลือเชื่อ

    2 นาทีต่อมาเจ้าถิ่นโหมหนักเป็น แบรนดอน วิลเลี่ยมส์ พยายามทิ้งตัวสกัดบอลแต่โชคร้ายมาเข้าทาง มาร์ค กูเอฮี ยืนหวดเต็มข้อหน้ากรอบเขตโทษแต่ยังดีมี เฟร็ด ตามมาบล็อคช่วย “ปีศาจแดง” เอาไว้ได้ทัน

    นาทีที่ 57 “สิงห์บลูส์” เริ่มดีกว่าชัดเจนเป็นจังหวะทิ้งบอลยาวของ คริสเตียน พูลิซิช ให้ คัลลั่ม ฮัดสัน-โอดอย หลุดกับดักล้ำหน้าเข้าไปซัดตามน้ำบอลข้ามคานออกไปนิดเดียว

    โหมกระหน่ำอยู่นานสุดท้ายนาทีที่ 61 เจ้าถิ่นตามตีเสมอสำเร็จจากบอลยาวของ วิลลี่ กาบาเยโร่ หวดมาเข้าทาง มิชี่ บาตชูอายี่ โซโล่เดี่ยวจากครึ่งสนามเบียด แฮร์รี่ แม็กไกวร์ ก่อนยิงเลียดเสียบเสาสุดสวย เชลซี 1 แมนฯ ยูไนเต็ด 1

นาทีที่ 73 “ปีศาจแดง” ทะยานออกนำอีกครั้งจากลูฟฟรีคิกระยะร่วม 30 หลาของ มาร์คัส แรชฟอร์ด วิ่งมาสับเต็มข้อด้วยขวาบอลพุ่งส่ายเสียบใต้คานงามหยด เชลซี 1 แมนฯ ยูไนเต็ด 2

    ก่อนหมดเวลา 10 นาที เชลซี เกือบตีเสมออีกครั้งจากลูกยิงด้วยซ้ายในเขตโทษของ มาร์กอส อลอนโซ่ บอลไปติดเซฟ เซร์คิโอ โรเมโร่ หลุดออกหลังไป

    ช่วงท้ายเกม “ปีศาจแดง” เกือบบวกสกอร์เพิ่มจากลูกปั่นโค้งของ อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล แต่บอลหลุดเสาออกไปนิดเดียว

    จบเกม เชลซี 1 แมนฯ ยูไนเต็ด 2 เป็นลูกทีมของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ย้ำแค้นลอยลำผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายสำเร็จ

รายชื่อผู้เล่นที่ลงสนามตัวจริง

    เชลซี (4-3-3) : วิลลี่ กาบาเยโร่ – รีซ เจมส์, คัวร์ท ซูม่า, มาร์ค กูเอฮี, มาร์กอส อลอนโซ่ – มาเตโอ โควาซิช, บิลลี่ กิลมัวร์ (เมสัน เมาท์ น.70), จอร์จินโญ่ – คริสเตียน พูลิซิช (เปโดร โรดริเกซ น.70), มิชี่ บาตชูอายี่ (แทมมี่ อับราฮัม น.78), คัลลั่ม ฮัดสัน-โอดอย

    ผู้จัดการทีม : แฟร้งค์ แลมพาร์ด  

    แมนฯ ยูไนเต็ด (3-4-1-2) : เซร์คิโอ โรเมโร่ – วิคเตอร์ ลินเดอเลิฟ (อ็องโตนี มาร์กซิยาล น.66), แฮร์รี่ แม็กไกวร์, มาร์กอส โรโฮ – อารอน วาน-บิสซาก้า, สกอตต์ แม็คโทมิเนย์, แบรนดอน วิลเลี่ยมส์, เฟร็ด – เจสซี่ ลินการ์ด (อันเดรียส เปเรร่า น.67) – แดเนี่ยล เจมส์, มาร์คัส แรชฟอร์ด (แอชลี่ย์ ยัง น.80)

    ผู้จัดการทีม : โอเล่ กุนนาร์ โซลชา

post

ทัพผสมทั้งคู่!เชลซีมี ‘ชิรูด์’ ล่า,แมนยูส่ง ‘แรชฟอร์ด’ หลอนศึกคาราบาวคัพ

Football-278

“สิงโตน้ำเงินคราม” เชลซี เตรียมส่ง โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ ลงตัวจริงล่าตาข่าย เกมพบ “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่จะวาง มาร์คัส แรชฟอร์ด นำปิดสกอร์ โดยนัดนี้คาดว่าทั้งสองทีมจะจัดทัพผสม ในศึกฟุตบอล คาราบาวคัพ (รอบ 16 ทีมสุดท้าย) คืนวันพุธที่ 30 ต.ค. ศกนี้ ถ่ายทอดสด : Supersport 3, เวลา : 03.05 น.

สนาม : สแตมฟอร์ด บริดจ์

    แฟร้งค์ แลมพาร์ด กุนซือเชลซี พาทีมเข้ารอบนี้ หลังชนะกริมสบี้ 7-1 ก่อนชนะเบิร์นลี่ย์ 4-2 ในเกมลีกล่าสุด เป็นการคว้าชัย 7 นัดติด

    ความพร้อมเกมนี้ ”แลมพ์ส” ยังไม่มีทั้ง เอ็นโกโล่ ก็องเต้, รอสส์ บาร์คลี่ย์, อันเดรียส คริสเตนเซ่น, อันโตนิโอ รือดิเกอร์ และ รูเบน ลอฟตัส-ชีค ที่บาดเจ็บทั้งหมด

    ส่วนการจัดทัพก็น่าจะเปิดโอกาสให้พวกสำรองและดาวรุ่งได้ลงสนามกันอย่างเต็มที่เหมือนในรอบก่อน เช่น วิลลี่ กาบาเยโร่, รีซ เจมส์, มาร์ค กูเอฮี, บิลลี่ กิลมัวร์, เปโดร โรดริเกซ และ โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ เป็นต้น

    โอเล่ กุนนาร์ โซลชา กุนซือแมนฯ ยูไนเต็ด พาทีมเข้ารอบนี้ หลังชนะจุดโทษรอชเดล ก่อนชนะนอริช ซิตี้ 3-1 ในเกมล่าสุด เป็นชัยชนะ 2 นัดติด

    ความพร้อมเกมนี้ โซลชายังไม่มีพวกที่เดี้ยงอยู่ก่อนทั้ง ปอล ป็อกบา, ลุค ชอว์, เนมานย่า มาติช และ อั๊กเซล ตวนเซเบ้

    ส่วนการจัดทัพก็น่าจะเปิดโอกาสให้พวกสำรองและดาวรุ่งได้ลงสนามกันอย่างเต็มที่เหมือนในรอบก่อน เช่นเซร์คิโอ โรเมโร่, ฟิล โจนส์, มาร์กอส โรโฮ, แบรนดอน วิลเลี่ยมส์, เจมส์ การ์เนอร์, เจสซี่ ลินการ์ด, ฆวน มาต้า และ เมสัน กรีนวู้ด  


รายชื่อผู้เล่นที่คาดว่าจะลงสนามตัวจริง

    เชลซี (4-3-3) : วิลลี่ กาบาเยโร่ – รีซ เจมส์, คัวร์ท ซูม่า, มาร์ค กูเอฮี, มาร์กอส อลอนโซ่ – มาเตโอ โควาซิช, บิลลี่ กิลมัวร์, คริสเตียน พูลิซิช – เปโดร โรดริเกซ, โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์, คัลลั่ม ฮัดสัน-โอดอย
    ผู้จัดการทีม : แฟร้งค์ แลมพาร์ด  

    แมนฯ ยูไนเต็ด (4-2-3-1) : เซร์คิโอ โรเมโร่ – อารอน วาน-บิสซาก้า, ฟิล โจนส์, มาร์กอส โรโฮ, แบรนดอน วิลเลี่ยมส์ – เฟร็ด, เจมส์ การ์เนอร์ – เจสซี่ ลินการ์ด, ฆวน มาต้า, มาร์คัส แรชฟอร์ด – เมสัน กรีนวู้ด  
    ผู้จัดการทีม : โอเล่ กุนนาร์ โซลชา

post

โรม่า เฉือน มิลาน 2-1 ขยับขึ้นที่ 5 กัลโช่ฯ

Football-277

การเเข่งขันฟุตบอล กัลโช เซเรีย อา 2019-2020 คู่บิ๊กแมตช์ประจำโปรแกรมสัปดาห์ที่ 9 เป็นการพบกันระหว่าง เอแอส โรมา เปิดรังเหย้า สตาดิโอ โอลิมปิโก ต้อนรับการมาเยือนของ เอซี มิลาน

เปาโล ฟอนเซก้า กุนซือเจ้าบ้าน เลือกจัดทัพมาในระบบ 4-2-3-1 โดยใช้ เอดิน เชโก้ ค้ำหน้าเป้าคอยทำเกมรุกร่วมกับ นิโกโล ซานิโอโล, ฮาเวียร์ ปาสตอเร และ ดีเอโก้ เปร็อตติ

ด้านทีมเยือนของ สเตฟาโน ปิโอลี วางหมากมาในแผน 4-3-3 ด้วยการฝากความหวังในแนวรุกไว้ที่สามประสานแดนหน้าอย่าง ซูโซ, ราฟาเอล เลเอา และ ฮาคาน ชัลฮาโนลู

ผลปรากฎว่า เริ่มครึ่งแรก นาทีที่ 42 ดีเอโก้ เปร็อตติ กระชากบอลจากริมสนามฝั่งซ้าย ตัดเข้ากลางก่อนไหลบอลให้ ฮาเวียร์ ปาสตอเร่ ที่หาที่ว่างอยู่ในกรอบเขตโทษ หลุดเข้าไปซัดบอลไม่ผ่านมือ จานลุยจิ ดอนนารุมม่า นายทวารมิลาน จบ 45 นาทีแรก โรม่า นำ 1-0

ครึ่งหลัง นาทีที่ 55 ดาวิเด้ คาลาเบรีย แบ็กขวาที่ลงมาใหม่โชว์ก่อนเปิดจากริมสนามด้านขวา บอลย้อยมาหน้ากรอบเขตโทษ เตโอ แอร์กน็องเดซ วิ่งแตะบอลโดยขวาแล้วซัดเรียดด้วยซ้าย บอลผ่านตัว คริส สมอลลิ่ง ค่อย ๆ ไหลกลิ้งเข้าประตูไป มิลาน ตีเสมอ 1-1

แต่แล้วนาทีที่ 59 อเลสซิโอ โรมันโยลี่ กองหลังปีศาจแดงดำ ออกบอลบริเวณริมสนามด้านขวาไม่ดี มาเข้าทาง เอดิน เชโก้ จ่ายบอลไปติด ลูกัส บีย่า ที่พยายามลงมาช่วยสกัด บอลเปลี่ยนทางมาให้ นิโกโล่ ซานิโอโล่ ที่สปีดมาเก็บบอลในกรอบเขตโทษก่อนหวดเข้าไปไม่เหลือซาก โรม่า นำอีกครั้ง 2-1

จากนั้นไม่มีประตูเกิดขึ้นเพิ่มเติมอีก ทำให้สุดท้ายจบเกมเป็นโรม่าเฉือนชนะไป 2-1 ซึ่งถือเป็นกลับมาคว้าชัยได้อีกครั้ง หลังจากเสมอมาถึง 4 นัดติดต่อกันก่อนหน้านี้รวมทุกรายการ พร้อมขยับขึ้นมารั้งที่ 5 มีเพิ่มเป็น 16 แต้ม ส่วนเอซี มิลานอยู่อันดับ 12 มี 10 คะแนนเท่าเดิม

ผลคู่อื่นๆ
โบโลญญ่า 2-1 ซามพ์โดเรีย
อตาลันต้า 7-1 อูดิเนเซ่
สปอล 1-1 นาโปลี
โตริโน่ 1-1 กายารี่
ฟิออเรนติน่า 1-2 ลาซิโอ

post

ชำแหละ 4 ประเด็นร้อน “ลิเวอร์พูล” แซงทุบ “สเปอร์ส”

Football-276

“หงส์แดง” ลิเวอร์พูล เปิดบ้านเอาชนะ “ไก่เดือยทอง” ทอตแนม ฮอตสเปอร์ ไป 2-1 และนี่คือ 4 ประเด็นสำคัญที่ได้เห็นจากเกมนี้

1.โกลสเปอร์สโคตรเหนียว

เกมนี้ต้องยกนิ้วให้กับ เปาโล กัซซานิกา ผู้รักษาประตูของสเปอร์ส เพราะโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมเซฟจังหวะยิงของลิเวอร์พูลแทบนับไม่ถ้วน ทำเอาแฟนบอลลิเวอร์พูลบ่นกันระงม ยิงยากยิงเย็นเหลือเกิน

2.กัปตันเฮนโด้ แก้ตัวสำเร็จ

จังหวะที่ลิเวอร์พูลเสียประตูตั้งแต่ต้นเกม เริ่มมาจากความผิดพลาดของ เฮนเดอร์สัน ที่ทำเสียบอลในแดนกลางแล้วถูกสเปอร์สโต้กลับ อย่างไรก็ตาม เฮนเดอร์สัน ก็แสดงให้เห็นถึงสภาพจิตใจที่แข็งแกร่ง ก้มหน้าก้มตาเล่นต่อไป และมาทำประตูให้ทีมได้ในช่วงครึ่งหลัง

3. ฟาบินโญ+เทรนต์ ฟอร์มเฉียบ

เกมนี้ ฟาบินโญ คุมจังหวะเกมอดนกลางให้ลิเวอร์พูลได้ดีมาก การเข้าปะทะ การผ่านบอล ไหลลื่นสุดๆ โดยเฉพาะจังหวะที่กล้าเสี่ยงเปิดบอลเข้าเขตโทษก่อนที่บอลจะมาเข้าทาง เฮนเดอร์สัน ยิงตีเสมอให้ลิเวอร์พูลสำเร็จ ส่วน เทรนต์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ ก็ทำได้ดีเยี่ยมในตำแหน่งแบ็กขวา จังหวะเติมขึ้นมายิง จังหวะฟรีคิก จังหวะเตะมุมจากเขาคนนี้ได้ลุ้นอยู่ตลอด

4.ยังรักษาระยะห่างต่อไป

เกมนี้ถ้าลิเวอร์พูลพลาดแพ้หรือเสมอน่าจะทำให้ แมนฯซิตี้ มีกำลังใจในการไล่ล่าจ่าฝูง แต่ลิเวอร์พูลแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่น ไม่ยอมทำแต้มหล่นง่ายๆ จนฮึดกลับมาคว้าชัยชนะในเกมนี้ได้สำเร็จ นำจ่าฝูงต่อไป มีแต้มเหนือแมนฯซิตี้อยู่ 6 คะแนน

post

พูริซิชแฮตทริก! เชลซีเสียวท้ายเกมบุกเชือดเบิร์นลี่ย์ เฮ7นัดทุกรายการ

Football-275

คริสเตียน พูริซิช ปลดล็อคพังประตูในพรีเมียร์ลีกได้เสียที แถมนัดนี้รับบทเป็นพระเอกตะบันแฮตทริกพา เชลซี บุกไปคว้าชัยเหนือเบิร์นลี่ย์ แบบมีเสียวช่วงท้ายเกม 4-2

ทำสถิติคว้าชัย 7 นัดติดต่อกันทุกรายการ เก็บสามแต้มมี 20 คะแนนเท่ากับ เลสเตอร์ รั้งอันดับ 4 ตารางพรีเมียร์ลีกเหมือนเดิม ขณะที่ พูริซิช กลายเป็นแข้งชาวอเมริกันรายที่สองต่อจาก คลินท์ เดมพ์ซีย์ ที่ทำแฮตทริกได้ในเวทีพรีเมียร์ลีก

สนาม : เทิร์ฟ มัวร์

    ครึ่งแรก เริ่มมาได้แค่ 5 นาที ทีมเยือนได้โอกาสทักทายก่อนจาก วิลเลี่ยน ตั้งป้อมหวดด้วยซ้ายบอลเหินหลุดกรอบออกไป

    นาที 18 ดไวท์ แม็คนีล กระชากบอลขึ้นทางซ้ายก่อนหลุดถึงเส้นหลังครอสบอลไปแฉลบ เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า ก่อนไปเข้ามือ เกป้า นายด่านของสิงห์บลูส์

    นาที 21 กลายเป็นทีมเยือนที่บุกมาขึ้นนำก่อน 1-0 จากความผิดพลาดของ แม็ทธิว ลอว์ตัน แนวรับเจ้าถิ่นที่เสียการครองบอลโดน คริสเตียน พูริซิช ฉกบอลก่อนกระชากเข้าไปสับขาหนี เจมส์ ทาร์คอฟสกี้ แล้วซัดด้วยซ้ายส่งบอลเลียดเสียบเสาสองอย่างเฉียบขาด

    เจ้าถิ่นไม่ท้อหวังตีเสมอให้ได้ นาที 25 เอริค ปีเตอร์ส ตะบันด้วยซ้ายข้างถนัดนอกกรอบบอลพุ่งแรงแต่ยังไปติดเซฟของ เกป้า 

    อีกสามนาทีต่อมา บอลวางยาวของ วิลเลี่ยน จากขวาขวางมาซ้ายในกรอบให้   คริสเตียน พูริซิช พักอกลงก่อนซัดด้วยขวาบอลพุ่งไปติดตัว นิค โป๊ป เซฟช่วยทีมไว้ได้

    นาทีที่ 30 เบิร์นลี่ย์ พลาดโอกาสตีเสมออย่างจัง บอลเซ็ตเพลย์จากขวาเปิดยาวไปเสาไกลให้ เบน มี ขึ้นโขกชงมาเสาแรก แอชลี่ย์ บาร์นส์ พุ่งมาโขกจ่อๆแต่โหม่งบอลหลุดเสาออกอย่างน่าเสียดาย

    นาทีสุดท้ายครึ่งแรก “สิงห์บลูส์” ทะยานออกนำ 2-0 และเป็นแนวรับเจ้าถิ่นที่ผิดพลาดอีก เจมส์ ทาร์คอฟสกี้ ออกไปสั้นไปโดน วิลเลี่ยน ตัดบอลได้มาเข้าเท้า คริสเตียน พูลิซิช เลี้ยงจี้จากกลางสนามเข้ามาก่อนกระชากหนี ทาร์คอฟสกี้ เข้าไปซัดด้วยขวาบอลไปแฉลบ เบน มี เสียบมุมแคบเสาแรกชนิดที่ นิค โป๊ป ยืนขาตายได้แต่มอง

    จบครึ่งแรก เบิร์นลี่ย์ ตามหลัง เชลซี 0-2

    ครึ่งหลัง เจ้าถิ่นอยู่ไม่ได้หลังตามหลังถึงสองเม็ด รุกหนักเต็มสูบ นาที 51 บอลขึ้นทางขวาถึง เจย์ โรดริเกซ ตะบันด้วยขวาเสาแรกแต่ยังไม่ผ่านมือ เกป้า ที่ปิดมุมรับเข้าซองไว้ได้

    ทว่า นาที 56 แฟนเบิร์นลี่ย์เงียบกริบทั้งสนามเมื่อลูกทีมของ แฟร้งค์ แลมพาร์ด มาได้ประตูที่สามนำห่าง บอลจาก เมสัน เมาน์ท ครอสด้วยเท้าขวาไปเสาแรก คริสเตียน พูริซิช โฉบมาโหม่งเสยไปเสาไกล ให้เชลซีนำโด่ง 3-0 และเป็นแฮตทริกของพูริซิชในเกมนี้

    ไม่แค่นั้น อีก 2 นาทีถัดมา สกอร์มาไหลเป็น 4-0 จากจังหวะสวนกลับ แทมมี่ อบราฮัม ลากตะลุยขึ้นมาแล้วไหลออกขวาให้ วิลเลี่ยน เลี้ยงมาสับเรียดผ่านมือ โป๊ป เสียบเสาไกลเข้าไปเลย

    นาทีที่ 76 เชลซี มาได้จุดโทษ เมื่อ คัลลั่ม ฮัดสัน-โอดอย ตัวสำรองล้มลงไป ทว่าจากการเช็กวีเออาร์ปรากฎว่าเป็นการพุ่งล้มของดาวเตะสิงห์บลูส์ ทำให้มีการเปลี่ยนคำตัดสิน และแจกใบเหลืองให้ ฮัดสัน-โอดอย แทน

    เจ้าบ้านมาได้ประตูปลอบใจ 1-4 ในนาทีที่ 86 เมื่อ ร็อบบี้ เบรดี้ ตัดบอลได้จาก พูลิซิช แถวกลางสนาม ก่อนไหลให้ เจย์ โรดริเกซ ลากมาตะบันด้วยขวาจากระยะกว่า 30 หลาเต็มแรง บอลพุ่งผ่านมือ เกปา เสียบใต้คานสุดสวย

    นาที 89 เบิร์นลี่ย์ ไม่ถอดใจไล่มาอีกลูก เมื่อ ดไวท์ แม็คนีล ยิงด้วยซ้ายหน้าเขตโทษฝั่งขวา บอลไปแฉลบ โทโมรี่ เปลี่ยนทางทำให้ เกปา หลงขาตาย และลูกก็เข้าประตูไป แต่ก็ทำได้เพียงเท่านั้น จบเกม เชลซี เอาชนะ เบิร์นลี่ย์ 4-2 คว้าชัย 7 นัดรวดในทุกรายการ

    รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม

        เบิร์นลี่ย์ (4-4-2) : นิค โป๊ป – แม็ทธิว ลอว์ตัน, เจมส์ ทาร์คอฟสกี้, เบน มี, เอริค ปีเตอร์ส – ดไวท์ แม็คนีล, แจ็ค คอร์ก, แอชลี่ย์ เวสต์วู้ด, เจฟฟ์ เฮนดริค (ร็อบบี้ เบรดี้ น.84)- แอชลี่ย์ บาร์นส์ (มาเตย์ วิดร้า น.63), เจย์ โรดริเกซ  

        ผู้จัดการทีม : ฌอน ไดช์

        เชลซี (4-3-3) : เกปา อาร์รีซาบาลาก้า – เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า, คูร์ท ซูม่า, ฟิคาโย่ โทโมรี่, มาร์กอส อลอนโซ่ (รีซ เจมส์ น.63) – มาเตโอ โควาซิช, จอร์จินโญ่, เมสัน เมาน์ท – วิลเลี่ยน (คัลลั่ม ฮัดสัน-โอดอย น.72), แทมมี่ อบราฮัม (โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ น.70), คริสเตียน พูริซิช 

        ผู้จัดการทีม : แฟร้งค์ แลมพาร์ด  

        ผู้ตัดสิน : ไมเคิ่ล โอลิเวอร์  

post

จิ้งจอกสยามยำสยอง!ตัดเกรดแข้งเลสเตอร์เกมกระซวกโหดเซาธ์ฯ

Football-274

เป็นสกอร์ที่มโหฬารชวนตะลึงดีแท้สำหรับ “จิ้งจอกสยาม” เลสเตอร์ ซิตี้ ที่บุกไปยำใหญ่ เซาธ์แฮมป์ตัน ที่เหลือ 10 คนตั้งแต่ต้นเกม ถึงบ้านแบบไม่มีเกรงใจ

ด้วยสกอร์ 9-0 เมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา โดยที่เกมนี้ เลสเตอร์ มีผู้เล่นถึงสองคนที่กดแฮตทริกได้ ขณะที่แบ็กซ้ายตัวเก่งอย่าง เบน ชิลเวลล์ ก็วิ่งเติมเกมรุกอย่างเมามันส์ และนี่คือผลสอบของลูกทีม เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ในเกมสุดโหดเมื่อคืนที่ผ่านมา

 11 ผู้เล่นตัวจริง

    – แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล : 7
        แม้เป็นเกมที่ เลสเตอร์ บุกยำอยู่ข้างเดียว แต่ ชไมเคิ่ล ก็มีโชว์เซฟสวยๆ ให้เห็น 2 ครั้ง

    – เบน ชิลเวลล์ : 9
        เป็นเกมที่เล่นได้โดดเด่นมาก เติมเกมรุกได้มีประสิทธิภาพสุดๆ โดยนอกจากเป็นคนทำประตูขึ้นนำ 1-0 แล้ว ยังทำแอสซิสต์สวยๆ ได้อีก 2 ครั้ง
    
    – ชัคลาร์ โซยุนชู : 7.5
        คุมแนวรับได้ยอดเยี่ยม โดดเด่นทั้งลูกกลางอากาศและการเข้าแท็กเกิ้ล

    – จอนนี่ อีแวนส์ : 7
        ไม่ได้เจองานหนักอะไรมาก แถมเกือบมีชื่อเป็นคนทำสกอร์ในช่วงครึ่งหลังด้วย

    – ริคาร์โด้ เปเรยร่า : 7.5
        อาจจะเติมเกมรุกไม่มันส์เท่า ชิลเวลล์ แต่เกมรับทำได้เยี่ยมมาก โดยเฉพาะการเข้าแท็กเกิ้ล

    – วิลเฟร็ด เอ็นดิดี้ : 8
        เล่นได้เยี่ยมมาก คุมแดนกลางได้โดดเด่น เข้าแท็กเกิ้ลได้ถึง 7 ครั้ง และมีการผ่านบอลที่แม่นยำ

   – อาโยเซ่ เปเรซ : 9
        ฮอตมากๆ เป็นเกมที่เจ้าตัวจบสกอร์ได้อย่างเด็ดขาด จนทำแฮตทริกได้ ก่อนถูกเปลี่ยนตัวออกไปนั่งพักช่วงท้ายเกม

    – ยูริ ตีเลอมันส์ : 8
        ฟอร์มโดดเด่นต่อเนื่องสำหรับมิดฟิลด์ชาวเบลเยียม และเกมนี้ก็มีทั้งยิงและจ่ายอย่างละ 1

    – เจมส์ แมดดิสัน : 7.5
        เล่นได้กลางๆ และเกือบจะเป็นเกมที่ไม่มีทั้งแอสซิสต์และประตู จนกระทั่งมายิงฟรีคิกสุดสวยเป็นประตู 8-0 ช่วง 5 นาทีสุดท้าย

    – ฮาร์วีย์ บาร์นส์ : 8
        แม้ไม่มีสกอร์ แต่เป็นเกมที่เจ้าตัวเล่นได้โดดเด่นทีเดียว และก็มี 1 แอสซิสต์กับการหยอดบอลสุดแม่นให้ เปเรซ กระทุ้งประตู 6-0

    – เจมี่ วาร์ดี้ : 9
        ยิ่งแก่ยิ่งเก่งจริงๆ สำหรับอดีตหัวหอกทีมชาติอังกฤษวัย 32 ปี มีการเข้าทำที่เฉียบขาด และโชว์สปีดเข้าไปเรียกจุดโทษช่วงทดเวลาบาดเจ็บ ก่อนสังหารเข้าไปไม่พลาดเป็นประตูปิดเกม 9-0 พร้อมกับทำแฮตทริกให้กับตัวเองสำเร็จ

 สำรองที่ได้ลงเล่น
    – มาร์ค อัลไบรท์ตัน (แทน บาร์นส์ น. 72) : 6

        มีการโชว์ลากเลื้อยให้เห็น และได้ลองยิงไป 1 ครั้ง

    – เดมาราย เกรย์ (แทน เปเรซ น. 74) : 5
        ไม่มีบทบาทอะไรมาก  

post

เปิด 9 สถิติหลังเกม “แมนฯยู” บุกเฉือนหืด “ปาร์ติซานฯ” แบ่งกลุ่ม ยูโรปา

Football-273

เปิด 9 สถิติหลังเกมที่ทาง “แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด” ยอดทีมแดนผู้ดี บุกไปเอาชนะ “ปาร์ติซาน เบลเกรด” 1-0 โดยได้ประตูชัยจาก “อองโตนี มาร์เชียล” ที่ซัดจุดโทษในนาทีที่ 43 ของเกมการแข่งขัน

วันที่ 25 ต.ค. 62 ความเคลื่อนไหวของ “ปิศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทีมดังแห่งศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ที่บุกไปเอาชนะ ปาร์ติซาน เบลเกรด 1-0 ในศึก ยูโรปาลีก 2019-20 รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่มแอล นัดที่ 3 เมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา โดยได้ประตูชัยจาก อองโตนี มาร์เชียล หัวหอกชาวฝรั่งเศส ที่ยิงจุดโทษเข้าไปในนาทีที่ 43 ของเกมการแข่งขัน

9 สถิติหลังเกม

ปาร์ติซาน เบลเกรด 15 โอกาสทำประตู 5 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

ปาร์ติซาน เบลเกรด 2 ยิงเข้ากรอบ 1 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

ปาร์ติซาน เบลเกรด 39% ครองบอล 61% แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

ปาร์ติซาน เบลเกรด 327 ผ่านบอล 505 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

ปาร์ติซาน เบลเกรด 69% ผ่านบอลสำเร็จ 85% แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

ปาร์ติซาน เบลเกรด 20 ฟาวล์ 18 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

ปาร์ติซาน เบลเกรด 3 ใบเหลือง 1 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

ปาร์ติซาน เบลเกรด 1 ล้ำหน้า 2 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

ปาร์ติซาน เบลเกรด 9 เตะมุม 2 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

post

สเตอร์ลิงแฮตทริก! แมนฯ ซิตี้ ไล่ยิง อตาลันต้า 5-1 นำฝูงกลุ่มซี

Football-272

การแข่งขัน ฟุตบอล ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก กลุ่ม ซี นัดที่ 3 แมนฯ ซิตี้ เปิดบ้านพบกับ อตาลันต้า ทีมจากอิตาลี ที่สนามเอติฮัด สเตเดี้ยม เมื่อคืนวันอังคารที่ 22 ตุลาคม ที่ผ่านมา

เริ่มเกมมาทั้งสองทีมเปิดเกมแลกกันสนุก แต่ยังไม่มีโอกาสจบสกอร์ด้วยกันทั้งสองฝ่าย จนเข้านาทีที่ 27 ทีมเยือนมาได้จุดโทษจากจังหวะที่ แฟร์นันดินโญ่ ไปเตะ โยซิป อิลิซิช ล้มลงในเขต และเป็น รุสลัน มาลินอฟสกี้ สังหารเข้าไปไม่พลาดให้ อตาลันต้า ขึ้นนำ 1-0

นาทีที่ 34 เจ้าถิ่นตามตีเสมอ 1-1 ราฮีม สเตอร์ลิง ลากตัดหลังแนวรับก่อนตักให้ เซร์คิโอ อเกวโร่ วิ่งหลุดกับดักล้ำจิ้มลอดขา ปิแอร์ลุยจิ กอลลินี่ ตุงตาข่ายเด็ดขาด

นาทีที่ 37 อันเดรีย มาซิเอลโล่ กองหลังทีมเยือนไปทำฟาวล์ สเตอร์ลิง ล้มลงในเขตโทษ ผู้ตัดสินชี้ทันทีและเป็น เซร์คิโอ อเกวโร่ ยิงเข้าไปแบบเด็ดขาด แมนฯ ซิตี้ มาได้ประตูแซงนำ 2-1 พร้อมจบครึ่งแรกด้วยสกอร์นี้

กลับมาเล่นต่อครึ่งหลัง นาทีที่ 57 เจ้าบ้านประสานงานได้อย่างยอดเยี่ยม เควิน เดอ บรอยน์ ไหลให้ ฟิล โฟเด้น แทงต่อถึง ราฮีม สเตอร์ลิง ซัดโล่งๆ ไม่เหลือ แมนฯ ซิตี้ หนีเป็น 3-1

นาทีที่ 64 เจ้าบ้านลุยต่อ อิลคาย กุนโดกัน จ่ายให้ ราฮีม สเตอร์ลิง แตะหลบแนวรับก่อนยิงยัดเสาแรกเข้าไปอย่างเหนือชั้น แมนฯ ซิตี้ ทิ้งห่างเป็น 4-1

นาทีที่ 69 “เรือใบสีฟ้า” มาได้ประตูทิ้งเป็น 5-1 ริยาด มาห์เรซ เปิดบอลจากฝั่งขวาให้ ราฮีม สเตอร์ลิง หลุดเดี่ยวเข้าไปแปสวนตัว ปิแอร์ลุยจิ กอลลินี่ ซุกก้นตาข่าย และเป็นแฮตทริกของเจ้าตัว

นาทีที่ 82 เจ้าบ้านต้องมาเหลือผู้เล่นแค่ 10 คน จากจังหวะที่ ฟิล โฟเด้น ไปทำฟาวล์ด้วยการดึงเสื้อของ มาร์เท่น เดอ รอน ทำให้โดนใบเหลืองที่สอง เป็นใบแดงไล่ออกจากสนาม

จบเกม แมนฯ ซิตี้ เปิดบ้านแซงเอาชนะ อตาลันต้า 5-1 เก็บ 9 คะแนนเต็ม จากการลงสนาม 3 นัด นำเป็นจ่าฝูงของกลุ่มซี

รายชื่อผู้เล่นของทั้งสองทีม
แมนฯ ซิตี้ (4-3-3) : เอแดร์ซอน โมราเอส – ไคล์ วอล์คเกอร์, โรดรี้ เอร์นานเดซ, แฟร์นันดินโญ่, แบ็งฌาแม็ง เมนดี้ – เควิน เดอ บรอยน์, อิลคาย กุนโดกัน, ฟิล โฟเด้น – ริยาด มาห์เรซ, เซร์คิโอ อเกวโร่, ราฮีม สเตอร์ลิง
อตาลันต้า (3-4-1-2) : ปิแอร์ลุยจิ กอลลินี่ – ราฟาเอล โตลอย, เบรัต ฌิมซิติ, อันเดรีย มาซิเอลโล่ – ติโมธี คาสตานเญ่, มาร์เท่น เดอ รอน, เรโม ฟรอยเลอร์, โรบิน โกเซนส์ – รุสลัน มาลินอฟสกี้, อเลฮานโดร โกเม – โยซิป อิลิซิช
ผู้ตัดสิน : โอเรล กรินเฟลด์ (อิสราเอล)

post

โป้งเดียวจอด “ดาบคู่” คมในบ้าน เปิดรังเฉือนหวิวปืนโต 1-0

Football-271

“ลิส มุสเซต” พังประตูชัยตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงแรก และเป็นประตูชี้ขาดช่วยให้เชฟฟิล์ด ยูไนเต็ด เปิดบ้านเอาชนะอาร์เซนอลไปแบบหวุดหวิด ในเกมมันเดย์ ไนท์

การแข่งขันศึกฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฤดูกาล 2019-20 โดยเกมนัดมันเดย์ ไนท์ ประจำคืนวันจันทร์ที่ 21 ตุลาคม “ดาบคู่” เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด อันดับ 9 ของตาราง เปิดบ้านที่สนามบรามอลล์ เลน รับมือ “ปืนใหญ่” อาร์เซนอล ทีมอันดับ 5

เปิดฉากครึ่งแรกในนาทีที่ 21 อาร์เซนอลมีโอกาสทักทายก่อน เซอัด โคลาซินัช กระชากขึ้นมาทางซ้าย ก่อนเปิดมาหน้าประตูให้ นิโคลัส เปเป แปบอลวืดอย่างน่าเสียดาย

จนนาทีที่ 30 เจ้าถิ่นขึ้นนำก่อน 1-0 จากลูกเตะมุมทางฝั่งซ้าย แจ็ค โอคอนเนลล์ โหม่งชงมาหน้าประตูให้ ลิส มุสเซต ชาร์จจ่อๆ ตุงตาข่าย และจบครึ่งแรกด้วยสกอร์นี้

จากนั้นครึ่งหลัง อาร์เซนอลเปิดฉากบุกอย่างต่อเนื่องหวังทวงประตูคืน และมีลุ้นในนาทีที่ 58 บูยาโก ซากา เปิดให้กับ ดานี เซบาญอส ยิงด้วยขวา แต่นายทวารเชฟฟิลด์ฯ ยังพุ่งรับเอาไว้ได้ทัน

post

3 กูรูดัง ยกย่องฟาน ไดค์ ยอดเยี่ยมไร้ที่ติ

Football-270

โชเซ่ มูรินโญ่ กุนซือว่างงานคนดัง กล่าวชื่นชม เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ ว่ามีฟอร์มการเล่นที่ยอดเยี่ยมจนหาจุดอ่อนไม่เจอ อีกทั้งยังกล่าวอีกว่า มันคงไม่ยุติธรรมต่อคนอื่นเท่าไหร่นักหากนำนักเตะคนคนนั้นมาเปรียบเทียบกับ ยอดแนวรับรายนี้

นอกจากนี้ยังมี กูรูชื่อดังอีกสองราย ที่กล่าวชม ฟาน ไดค์ เช่นกันโชเซ่ มูรินโญ่ กุนซือว่างงานคนดัง กล่าวชื่นชม เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ ว่ามีฟอร์มการเล่นที่ยอดเยี่ยมจนหาจุดอ่อนไม่เจอ อีกทั้งยังกล่าวอีกว่า มันคงไม่ยุติธรรมต่อคนอื่นเท่าไหร่นักหากนำนักเตะคนคนนั้นมาเปรียบเทียบกับ ยอดแนวรับรายนี้

    นับตั้งแต่ เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ ย้ายร่วมทัพ ลิเวอร์พูล เมื่อเดือนมกราคม ปี 2018 เขาได้สถาปนาตัวเองขึ้นเป็นหนึ่งในนักฟุตบอลชั้นนำของโลกและสร้างผลงานยอดเยี่ยมออกมา

    อดีตกุนซือแมนฯ ยูไนเต็ด อย่าง โชเซ่ มูรินโญ่ เชื่อว่า ฟาน ไดค์ คือสุดยอดแนวรับของวงการฟุตบอลอังกฤษในยุคนี้อย่างแท้จริง “มันคงไม่ยุติธรรมต่อกองหลังคนอื่นเท่าไหร่นัก ในฟุตบอลอังกฤษ ใช่เลย เขามีทุกอย่างและแทบจะหาจุดอ่อนไม่เจอเลย” มูรินโญ่ กล่าวผ่าน สกาย สปอร์ตส์

    ทางด้าน รอย คีน ยังเสริมอีกว่า หนึ่งในประโยชน์ที่เพื่อนร่วมทีม ลิเวอร์พูล ได้คือการมี ฟาน ไดค์ คอยประคองในทีม “เขายอดเยี่ยมมากๆ การเซ็นสัญญาผู้เล่นนี้ทำให้คนรอบข้างเขาเก่งขึ้นไปด้วย สถิติที่ออกมามันสุดยอดจริงๆ”

    ขณะที่ แกรม ซูเนสส์ อดีตผู้เล่นและกุนซือ ลิเวอร์พูล เป็นอีกคนที่ยกย่อง ฟาน ไดค์ “สำหรับผม เขาเก่งที่สุด เขาไม่มีข้อผิดพลาดเลย เขามักจะควบคุมอะไรได้ทั้งหมด  เขามักใช้สมองในการดักจังหวะอันตราย”

    “ผมมองเขาเป็นกองหลังที่ครบเครื่อง ผมไม่คิดว่าเขาจะเหม่อลอยอะไรเลย เขาเอาชนะคุณได้ในเรื่องลูกกลางอากาศ”