ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก – รายการชิงแชมป์สโมสรยุโรปที่ทุกทีมต่างฝันอยากจะได้มาครอบครองซักครั้ง ซึ่งใบปัจจุบันก็เป็นถ้วยที่ 6 แล้ว ขณะที่ 5 ใบก่อนหน้านี้ได้มอบให้กับสโมสรใดก็ตามที่คว้าแชมป์ได้ 3 สมัยติดต่อกัน หรือ ได้แชมป์เกิน 5 ครั้งขึ้นไปเรียบร้อย โดย 5 ทีมดังกล่าวคือ เรอัล มาดริด (มอบให้ตอนได้แชมป์สมัยที่ 6 ปี 1966), อาแจ๊กซ์ อัมสเตอร์ดัม (3 สมัยติด ปี 1971-73), บาเยิร์น มิวนิค (3 สมัยติด ปี 1974-76), เอซี มิลาน (สมัยที่ 5 ปี 1994) และ ลิเวอร์พูล (แชมป์สมัย 5 ปี 2005)
อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ปี 2009 เป็นต้นมา ทาง ยูฟ่า ก็ยกเลิกกฎที่จะมอบถ้วยของจริงแล้ว โดยจะใช้ถ้วยบิ๊กเอียร์ของแท้ในนัดชิงชนะเลิศเท่านั้น ส่วนทีมแชมป์จะได้ถ้วยจำลองขนาดเท่าของจริงไปครองแทน ส่วนทีมใดที่คว้าแชมป์ได้ 3 ครั้งติด หรือได้แชมป์มากกว่า 5 สมัยในอนาคต ทาง ยูฟ่า ก็จะมอบตราพิเศษที่บ่งบอกถึงความเทพให้แทน (สังเกตได้จากแขนข้างซ้ายของนักเตะทั้ง 5 ทีมข้างต้นที่กล่าวไปก่อนหน้านี้เวลาเล่นเกมยุโรป)
ต้นกำเนิดของถ้วยนี้เกิดขึ้น หลังจากที่ “ราชันชุดขาว” ได้ถ้วยของจริงไปในปี 1967 ซึ่ง ฮันส์ แบนเกอร์เตอร์ เลขาธิการทั่วไปของ ยูฟ่า ขณะนั้น ตัดสินใจที่จะสร้างและออกแบบถ้วยใหม่ให้รูปร่างที่ทันสมัยมากกว่าเดิมโดยได้เรียก ยุร์ก สตาเดลมันน์ กับพ่อของเขา ที่เป็นช่างทำเครื่องเงิน มาช่วยออกแบบให้ ซึ่ง สตาเดลมันน์ ยังเผยด้วยว่า เขาต้องรีบทำให้เสร็จ ก่อนวันที่ 28 มีนาคม ปีนั้น เพราะต้องเข้าพิธีแต่งงาน และเตรียมไปล่องเรือฮันนีมูนกับภรรยาที่ ลอส แองเจลีส โดยเจ้าตัวใช้เวลานานถึง 340 ชั่วโมงกว่าจะออกแบบถ้วยที่มีความสูง 73.5 เซนติเมตร และหนัก 8.5 กิโลกรัม ได้สำเร็จ
ยูโรปา ลีก – ถ้วยพระรองต่อจาก แชมเปี้ยนส์ ลีก และฤดูกาลนี้จะเป็นซีซั่นที่ 43 แล้ว นับตั้งแต่ทาง ยูฟ่า นำมาจัดการแข่งขันแทนเมื่อซีซั่น 1971/72 โดย เชลซี คือทีมล่าสุดที่ได้ครอบครองถ้วยที่มีน้ำหนัก 15 กิโลกรัม สูง 65 เซนติเมตร กว้าง 33 เซนติเมตร และมีความลึกราว 23 เซนติเมตร ไปครอง โดยถ้วยเงินดังกล่าวจะวางติดกับฐานหินอ่อนสีเหลือง ซึ่งถ้วยแชมป์ ยูฟ่า คัพ (ชื่อเก่าของรายการ) ใบนี้ถูกออกแบบและสร้างขึ้นที่ แบร์โตนี่ ซึ่งเป็นโรงานที่รับทำถ้วยรางวัล และเหรียญชนะเลิศกีฬาต่างๆ ในเมือง มิลาน ประเทศอิตาลี โดยถ้วยใบนี้จะแตกต่างจากถ้วยแชมป์อื่น ตรงที่ไม่มีหูจับยื่นออกมา และปากถ้วยจะมีรูปทรงแปดเหลี่ยม อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ถ้วยใบจริงก็จะถูกทาง ยูฟ่า เก็บรักษาไว้ตลอดไป และจะสั่งทำถ้วยจำลองขนาดเท่าของจริงมอบให้กับทีมแชมป์ ซึ่งเมื่อก่อนพวกเขาจะมอบถ้วยแชมป์ใบจริงให้กับสโมสรใดก็ตามที่คว้าแชมป์ได้ 3 ปีติด หรือได้แชมป์รายการนี้มากกว่า 5 สมัยขึ้นไปเหมือนกับ ชปล. แต่ก็ไม่เคยมีทีมไหนทำได้เลยในรายการนี้ โดยมี 3 สโมสรที่ได้แชมป์รายการนี้มากที่สุดคือ 3 ครั้งได้แก่ ยูเวนตุส, อินเตอร์ มิลาน และ ลิเวอร์พูล เท่านั้น
บุนเดสลีกา – ถ้วย (ถาด) แชมป์ลีกสูงสุดเมืองเบียร์ของสหพันธ์ฟุตบอลเยอรมัน (เดเอฟเบ) ซึ่งคนทั่วไปมักจะเรียกถาดแชมป์นี้จากรูปร่างของมันว่า “จานสลัด” ถาดแชมป์ใบนี้ถูกสร้างขึ้นเมือปี 1949 ขึ้นทาแทนถ้วย “วิคตอเรีย” ซึ่งหายสาบสูญไปในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
สำหรับถาดต้นแบบนั้นมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 50 เซนติเมตร และ เดเอฟเบ ก็ต้องจ่ายเงินค่าวัสดุต่างๆ ที่นำมาประกอบเป็นถาดแชมป์ใบนี้ราว 9,000 ยูโร หรือหากเทียบกับค่าเงินสมัยนี้ก็ประมาณ 25,000 ยูโร (ราว 1 ล้านบาท) เลยทีเดียว สำหรับถาดแชมป์ดั้งเดิม ทำจากแร่เงินหรือที่เรียกกันว่า สเตอลิงซิลเวอร์ (Sterling Silver) โดยจะมีโลหะเงินผสมอยู่ 92.5 เปอร์เซ็นต์ และมีอัญมณี ทัวร์มาลีน สีเขียวขนาดใหญ่-เล็กรวม 16 เม็ด รวมทั้งสิ้น 175 กะรัต ประดับไว้ ตัวถาดได้รับการออกแบบโดย อลิซาเบ็ธ เตรสโคว์ อาจารย์สาวจากโรงเรียนศิลปะในเมือง โคโลญจน์ โดยจะมีการสลักชื่อทีมที่ได้แชมป์ลีกตั้งแต่ครั้งแรกเมื่อปี 1903 ไว้บนตัวถาดอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ต้องมีการเพิ่มขนาดของขอบถาดอีก 45 มิลลิเมตร และนำอัญมณี ทัวร์มาลีน มาประดับเพิ่มอีก 5 เม็ด เพื่อที่จะได้สลักชื่อของทีมแชมป์แต่ละปีได้มากขึ้นนั่นเอง ทำให้สามารถสลักชื่อแชมป์ บุนเดสลีกา ไปได้อีก 30 ปี จนปัจจุบัน ตัวถาดจึงมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 59 เซนติเมตร และหนัก 11 กิโลกรัม
เอฟเอ คัพ – ฟุตบอลถ้วยรายการที่เก่าแก่ที่สุดในโลก โดยรูปลักษณ์ของถ้วยที่เราเห็นในปัจจุบันถูกนำมาใช้ตั้งแต่ปี 1911 เนื่องจาก 1 ปีก่อนหน้านั้น ทาง เอฟเอ พบว่าดีไซน์ของถ้วยใบเก่าถูกละเมิดลิขสิทธิ์ ทำให้ ลอร์ด คินนาร์ด ประธาน เอฟเอ สมัยนั้น เชิญบริษัททำเครื่องเงินจากหลายแห่ง มาช่วยออกแบบถ้วยใบใหม่ให้ และเป็นบริษัท แฟตทอรินี่ แอนด์ ซันส์ จำกัด จาก แบร็ดฟอร์ด ที่เป็นฝ่ายชนะเลิศและได้รับการยอมรับจากทาง เอฟเอ (ปัจจุบัน บริษัทนี้ก็ยังคงดำเนินกิจการออกแบบถ้วยรางวัลอยู่นะครับ) ตัวถ้วยสูง 19 นิ้วไม่นับฐานรอง และมีน้ำหนักราว 175 ออนซ์ (ประมาณ 5 กิโลกรัม) แถมปีนั้นทีมแรกที่ได้ชูถ้วยแชมป์ใบใหม่ก็เป็น แบร็ดฟอร์ด ซิตี้ ทีมจากเมืองเดียวกันของผู้ออกแบบซะด้วย โดยถ้วยใบนี้เป็นถ้วยใบที่ 3 ในประวัติศาสตร์ของการแข่งขันรายการนี้ และก็ใช้งานมานานถึง 80 ปี ก่อนจะเปลี่ยนมาใช้ใบปัจจุบันตั้งแต่นัดชิงปี 1991 เป็นต้นมา
พรีเมียร์ลีก – นี่คือถ้วยแชมป์ที่แฟนบอลบ้านเราคุ้นเคยมากที่สุด โดยถ้วยแชมป์ พรีเมียร์ลีก ใบปัจจุบัน ผลิตโดย บริษัท การ์ราร์ด แอนโค จำกัด ซึ่งเป็นบริษัท ที่ออกแบบจิวเวอรี่ และเครื่องเงินชื่อดัง รวมทั้งเคยได้รับหน้าที่ดูแลรักษาเครื่องราชกกุธภัณฑ์ของสหราชอาณาจักรตั้งแต่ปี 1843-2007 อีกด้วย
ตัวถ้วยทำจากเงินแท้ประกอบด้วยมงกุฎหล่อจากเงินชุบ 24 กะรัต ขณะที่ฐานทำด้วยมาลาไคต์ หรืออัญมณีสีเขียว ซึ่งตัวฐานหนัก 15 กิโลกรัม รวมกับตัวโทรฟี่อีก 10 กิโลกรัม เป็น 25 กิโลกรัม ตัวถ้วยสูง 76 เซนติเมตรเมื่อรวมฐานด้วย กว้าง 43 เซนติเมตร และข้างในถ้วยมีความลึกราว 25 เซนติเมตร โดยจะมีสิงโต 2 ตัวอยู่ที่หูจับแต่ละข้าง ซึ่งหมายถึง “ทรี ไลออนส์” หรือตราแผ่นดินของประเทศอังกฤษนั่นเอง โดยสิงโตตัวที่ 3 ก็คือ กัปตันของทีมแชมป์ในแต่ละปี ที่จะชูถ้วยเหนือศีรษะเพื่อประกาศความเป็นเบอร์ 1 ของ พรีเมียร์ลีก ในฤดูกาลนั้นๆ