post

วิเคราะห์บิ๊กแมตช์ “ลิเวอร์พูล” ปะทะ “เลสเตอร์” ศึกพรีเมียร์ลีก

Football-246

“หงส์แดง”ลิเวอร์พูล เตรียมเปิดบ้านรับการมาเยือนของ “จิ้งจอกสยาม” เลสเตอร์ ซิตี้ ในศึกพรีเมียร์ลีก คู่บิ๊กแมตช์ คืนนี้ (5 ต.ค.) เวลา 21.00 น.

ความเคลื่อนไหวศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฤดูกาล 2019-20 ประจำวันเสาร์ที่ 5 ต.ค. เกมไฮไลต์อยู่ที่สนามแอนฟิลด์ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟิลด์ รับการมาเยือนของ “จิ้งจอกสยาม” เลสเตอร์ ซิตี้ ทีมอันดับ 3 เริ่มแข่ง 21.00 น. 

เกมนี้ เยอร์เกน คลอปป์ กุนซือลิเวอร์พูล ตั้งเป้าพาทีมเก็บชัยชนะในลีก 8 นัดติดต่อกัน เพื่อเก็บ 3 คะแนนและทำแต้มหนี แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ต่อไป เกมนี้ต้องลุ้นว่า โจเอล มาติป จะฟิตทันหรือไม่ ถ้าไม่ไหวก็เป็น โจ โกเมซ คุมแนวรับคู่กับ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ส่วน 3 ประสานแนวรุกทั้ง ซาดิโอ มาเน, โรแบร์โต เฟอร์มิโน และ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ พร้อมล่าตาข่าย

ขณะที่ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส กุนซือเลสเตอร์ ซิตี้ เกมลีกนัดที่แล้วระเบิดฟอร์มโหด ถล่มนิวคาสเซิล 5-0 ความมั่นใจสูงลิบ คราวนี้บุกแอนฟิลด์หวังมีแต้มกลับไปแน่นอน แถมได้ข่าวดี เจมส์ แมดดิสัน พร้อมลงปั้นเกมรุก มี เจมี วาร์ดี คอยลั่นสกอร์

สถิติพบกัน 5 ครั้งหลังสุดในพรีเมียร์ลีก: ลิเวอร์พูล ชนะ 3 ครั้งเสเตอร์ ชนะ 1 ครั้ง เสมอกัน 1 ครั้ง

วิเคราะห์: แมตช์นี้น่าดูมาก เป็นบอลเกมรุกทั้งสองทีม เกมนี้ถ้าลิเวอร์พูลไม่สามารถส่ง โจเอล มาติป ลงสนามได้ มีปัญหาแน่นอนเพราะ โจ โกเมซ ฟอร์มไม่ดีในในนัดล่าสุด แถม วาร์ดี ของเลสเตอร์ก็ฟอร์มกำลังเข้าฝัก ให้ ฟาน ไดค์ แบกคนเดียวเหนื่อยแน่ อย่างไรก็ตามเกมนุกของหงส์แดงยังไว้ใจได้เสมอ ส่วน เลสเตอร์ ซิตี้ ได้ แมดดิสัน กลับมาทำให้แนวรุกโหดขึ้นกว่าเดิม ส่วนเกมรับก็อยู่ในฟอร์มที่ดี คาดว่าโอกาสจบลงที่ผลเสมอมีสูงมาก

ทำนายผลแข่ง: ลิเวอร์พูล เสมอ เลสเตอร์ ซิตี้ 2-2

post

เรือใบร้อน !! แบร์นาร์โด้ ซิลวา ถูกสมาคมฟุตบอลอังกฤษตั้งข้อหา

Football-239

แบร์นาร์โด้ ซิลวา ถูกสมาคมฟุตบอลอังกฤษตั้งข้อหาประพฤติตัวไม่เหมาะสม จากเหตุการณ์ที่เขาโพสต์ทวิตเตอร์ภาพล้อเลียน เบนจามิน เมนดี้ เพื่อนร่วมทีม แมนเชสเตอร์ ซิตี้

ทั้งนี้ดาวเตะโปรตุเกสโพสต์ภาพวัยเด็กของเมนดี้คู่กับภาพโลโก้ขนมของประเทศสเปนที่เป็นรูปการ์ตูนเด็กผิวสี พร้อมแคปชั่นว่า “ทายสิใคร” เมื่อวันที่ 22 กันยายน

แม้เขาจะลบโพสต์ดังกล่าวและบอกว่าเป็นการเล่นมุกตลกกับเพื่อน แต่ล่าสุดทางเอฟเอได้ตั้งข้อหากับเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

post

“ผีแดง” พลาดเอง โดนปืนใหญ่ไล่เจ๊า 1-1 ศึกพรีเมียร์ลีก

Football-237

การแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฤดูกาล 2019-20 ประจำวันจันทร์ที่ 30 ก.ย. “ปิศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อันดับ 11 ของตาราง เปิดสนามโอลด์ แทรฟเฟิร์ด รับการมาเยือนของ “ปืนใหญ่” อาร์เซนอล อันดับ 8 ของตาราง

เปิดฉากครึ่งแรก นาทีที่ 8 แมนฯยู ได้ทักทายก่อน จากจังหวะที่ แดเนียล เจมส์ เลี้ยงจี้เข้าเขตโทษฝั่งซ้ายไปจนสุดเส้นหลังแล้วเปิดเข้ากลาง คาลัม แชมเบอร์ส สกัดออกหลังไปได้ และจากจังหวะเตะมุมฝั่งซ้าย แอชลีย์ ยัง เปิดบอลมาเสาสอง แฮร์รี แม็คไกวร์ โหม่งตั้งไปหน้าประตู มาร์คัส แรชฟอร์ด ไม่พร้อมเล่นเลยยิงแป้กออกหลังไป

จากนั้นนาทีที่ 29 โอกาสของแมนฯยู อีกครั้ง อันเดรียส เปเรรา พาบอลกระชากจากฝั่งขวาเข้าเขตโทษ ก่อนโยกหนีกองหลังแล้วซัดด้วยซ้าย แบรนด์ เลโน นายด่านอาร์เซนอล รับกระฉอกเล็กน้อยก่อนคว้าบอลไว้ได้ จังหวะนี้ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ที่นั่งดูอยู่บนอัฒจันทร์ถึงกับเสียดาย

เกมเปิดแลกกันสนุก นาทีที่ 30 อาร์เซนอลได้ลุ้นบ้าง เมื่อ บูยาโก ซากา จ่ายบอลเข้าเขตโทษฝั่งขวาให้ นิโคลัส เปเป ซัดด้วยซ้าย บอลข้ามคานน่าผิดหวัง

นาทีที่ 43 แมนฯยู หวิดขึ้นนำจากจังหวะที่ พอล ป็อกบา จ่ายบอลทะลุช่องอย่างสวยให้ มาร์คัส แรชฟอร์ด กระชากเข้าเขตโทษฝั่งซ้าย แต่ไปเสียจังหวะลื่มล้มยิงแป้กอย่างน่าเสียดาย

และในนาทีที่ 44 อาร์เซนอล เกือบได้เฮ จากจังหวะที่ บูยาโก ซากา กระชากเข้าเขตโทษแล้วซัดด้วยซ้าย ดาบิด เดเคอา ปัดมาเข้าทาง มัตเตโอ เก็นดูซี ซ้ำอีกที เดเคอา ก็ยังปิดมุมเซฟออกไปได้

ถึงนาทีที่ 45 แมนฯยู ได้ประตูขึ้นนำ 1-0 จนได้ จากจังหวะที่ แดเนียล เจมส์ สปีดพาบอลเข้าเขตโทษฝั่งขวาก่อนเปิดเรียดเข้ากลาง บอลเลยไปถึง มาร์คัส แรชฟอร์ด ขยันตามไปเอาบอลก่อนจ่ายย้อนมาหน้าเขตโทษให้ สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ ซัดด้วยขวา บอลพุ่งเสียบใต้คานเข้าไปอย่างสวยงาม

จบครึ่งแรก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด นำ อาร์เซนอล 1-0

กลับมาเล่นต่อครึ่งหลัง นาทีที่ 51 อาร์เซนอล ได้ลุ้นจากจังหวะที่ ลูคัส ตอร์เรรา วอลเลย์ด้วยขวาในเขตโทษแต่โดนไม่เต็ม เดเคอา รับได้สบาย

จากนั้นนาทีที่ 55 อาร์เซนอล ได้ฟรีคิกระยะไกล ดาวิด ลุยซ์ ซัดเต็มข้อ วิคตอร์ ลินเดเลิฟ โหม่งสกัดทิ้งออกไปได้

ถึงนาทีที่ 58 อาร์เซนอล ตีเสมอ 1-1 จากจังหวะที่ อักเซล ตวนเซเบ แบ็กซ้ายของยูไนเต็ด จ่ายบอลเข้ากลางพลาดมาเข้าทาง บูยาโก ซากา จ่ายบอลจังหวะเดียวเข้าเขตโทษให้ ปิแอร์ เอเมอริค โอบาเมยอง ยิงเข้าไป

ถัดมานาทีเดียว อาร์เซนอลเกือบแซงนำ จากจังหวะที่ มัตเตโอ เก็นดูซี จ่ายบอลทะลุเข้าเขตโทษฝั่งขวาให้ คัลลัม แชมเบอร์ส ปาดเข้ากลาง บูยาโก ซากา ได้ซัดเน้นๆ บอลแฉลบ วิคตอร์ ลินเดเลิฟ ข้ามคานไปอย่างน่าเสียดาย

นาทีที่ 64 แมนฯยู น่าได้ลูกที่สอง จากจังหวะที่ พอล ป็อกบา บรรจงปั่นด้วยขวาจากนอกกรอบ บอลโค่งเฉี่ยวเสาสองออกไปนิดเดียว

และในนาทีที่ 69 แมนฯยู เกือบได้อีกแล้ว คราวนี้เป็น แอชลีย์ ยัง เปิดเตะมุมฝั่งซ้ายเข้าเขตโทษ สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ พุ่งมาโหม่งข้ามคานนิดเดียว และถัดมา 4 นาที เจ้าถิ่นชวดได้ประตูอีกครั้ง เมื่อ แฮร์รี แม็คไกวร์ ซัดจากหน้าเขตโทษ แบรนด์ เลโน ปัดออกไปได้หวุดหวิด

เข้าสู่ช่วงทดเจ็บ นาทีที่ 90+1 แมนฯยู ได้ฟรีคิกหน้าเขตโทา มาร์คัส แรชฟอร์ด ซัดเน้นๆ แบรนด์ เลโน พุ่งปัดออกไปได้

ช่วงเวลาที่เหลือทั้งสองทีมทำอะไรกันเพิ่มไม่ได้ จบเกม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เสมอ อาร์เซนอล 1-1 แบ่งกันไปทีมละแต้ม

รายชื่อ 11 ตัวจริงของทั้ง 2 ทีม

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด: ดาบิด เดเคอา(GK), แฮร์รี แม็คไกวร์, วิคตอร์ ลินเดเลิฟ, อักเซล ตวนเซเบ, แอชลีย์ ยัง, สกอตต์ แมคโทมิเนย์, พอล ป็อกบา, เจสซี ลินการ์ด, อันเดรียส เปเรรา, แดเนียล เจมส์, มาร์คัส แรชฟอร์ด

อาร์เซนอล: แบรนด์ เลโน (GK), โซคราติส ปาปาสธาโทปูลอส, ดาวิด ลุยซ์, คัลลัม แชมเบอร์ส, เซอัด โคลาซินัช, มัตเตโอ เก็นดูซี, กรานิต ชากา, ลูคัส ตอร์เรรา, บูยาโก ซากา, นิโคลัส เปเป, ปิแอร์ เอเมอริค โอบาเมยอง

post

ผีข่มในบ้าน! แมนยูใช้ ‘เจมส์-กรีนวู้ด’ ซัด, อาร์เซน่อลลุ้น ‘โอบาเมย็อง’ โป้ง

Football-234

“ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มีปัญหากองหน้าตัวหลักบาดเจ็บคาดว่าจะส่ง แดเนียล เจมส์ กับ เมสัน กรีนวู้ด ลงปิดสกอร์เกมรับแข้ง “ปืนใหญ่” อาร์เซน่อล ที่มี ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมย็อง ปิดสกอร์ ในศึกฟุตบอล พรีเมียร์ลีก อังกฤษ วันจันทร์ที่ 30 ก.ย. ศกนี้ ถ่ายทอดสด : True Premier HD 1 และ ID Station, เวลา : 02.00 น.

สนาม : โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด

    โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ทำทีมปีศาจแดงด้วยความกดดัน สัปดาห์ก่อนไปแพ้ เวสต์แฮม สบาย 0-2 อันดับเวลานี้หล่นมาอยู่ตารางท่อนล่างแล้ว

    สถานการณ์ของกุนซือนอร์วีเจี้ยนกดดันไม่น้อย แม้บอร์ดจะออกมาบอกว่ายังพร้อมสนับสนุนเต็มที่ก็ตาม

    กลางสัปดาห์เล่น คาราบาว คัพ รอบ 3 ที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เสมอ 1-1 ซะงั้น ดีที่ยังชนะจุดโทษ 5-3 เข้าไปชนกับ เชลซี ที่ ลอนดอน ในรอบต่อไป

    สัปดาห์ก่อน มาร์คัส แรชฟอร์ด เจ็บเพิ่มมาอีกคน รวมกับ อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล ตัวรุกที่เจ็บไปก่อนแล้ว นั่นทำให้ เมสัน กรีนวู้ด เจ้าหนูวัย 17 ปีมีโอกาสออกสตาร์ตเป็นตัวจริงนัดแรกในซีซั่นนี้

    ปอล ป็อกบา ก็ทำท่าจะมีปัญหาเพราะอาการเจ็บที่ข้อเท้าในนัดที่เล่นกับ รอชเดช ซึ่ง โซลชา เกริ่นไว้แล้วว่าโอกาสจะลงเล่นได้นั้นมีไม่มาก

    ส่วน ลุค ชอว์ กลับมาซ้อมแล้วทว่าไม่น่าจะลงเล่นได้ ต้องรอฟื้นฟูไปอีกสักระยะ

    ในแนวรุกคงต้องพึ่งพา แดเนียล เจมส์ และ เมสัน กรีนวู้ด โดยรายหลังเพิ่งยิงประตูรอชเดลมาด้วย


    ด้าน อูไน เอเมอรี่ กุนซือ ไอ้ปืนใหญ่ พาทีมเข้าวินในสัปดาห์ก่อนด้วยการชนะ แอสตัน วิลล่า 3-2 ทั้งที่เหลือ 10 ตัว

    ส่วนในศึกคาราบาว คัพ เดอะ กันเนอร์ส ที่มีตัวสำรองและดาวรุ่งเพียบก็ถล่ม ฟอเรสต์ ไป 5-0 ผ่านเข้ารอบ 4 ไปเจอกับ ลิเวอร์พูล ต่อไป

    ทีมจะไม่มี อเล็กซองด์ ลากาแซตต์ หัวหอกฝรั่งเศสต่อไปอีกเพราะเจ็บที่ข้อเท้า

    ขณะที่ ร็อบ โฮลดิ้ง, เอคตอร์ เบเยริน และ คีแรน เทียร์นี่ย์ ฟิตเต็มที่แล้วและพร้อมที่จะลงเล่นนัดแรกในซีซั่นนี้

    อย่างไรก็ตามด้านพวกตัวหลักในแดนหน้า อยู่กันครบเหมือนเดิม นิโกล่าส์ เปเป้, ดานี่ เซบายอส, เมซุต โอซิล และ ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมย็อง

    ด้าน กรานิต ชาคา กองกลางทีมชาติสวิตเซอร์แลนด์ เพิ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกัปตันทีมถาวร

รายชื่อผู้เล่นที่คาดว่าจะลงสนาม

Football-235

    แมนฯยูไนเต็ด (4-2-3-1) : ดาบิด เด เคอา – อารอน วาน-บิสซาก้า, วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ, แฮร์รี่ แม็กไกวร์, แอชลี่ย์ ยัง – สกอตต์ แม็คโทมิเนย์, เนมานย่า มาติช – อันเดรียส เปเรยร่า, ฆวน มาต้า, แดเนียล เจมส์ – เมสัน กรีนวู้ด
    ผู้จัดการทีม : โอเล่ กุนนาร์ โซลชา

Football-236

    อาร์เซน่อล (4-2-3-1) : แบร์นด์ เลโน่ – เอคตอร์ เบเยริน, โซคราติส ปาปาสตาโธปูลอส, ดาวิด ลุยซ์, คีแรน เทียร์นี่ย์ – มัตเตโอ เก็นดูซี่, กรานิต ชาคา – นิโกล่าส์ เปเป้, ดานี่ เซบายอส, เมซุต โอซิล – ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมย็อง
    ผู้จัดการทีม : อูไน เอเมอรี่

    ผู้ตัดสิน : เควิน เฟรนด์

 สถิติเพิ่มเติมที่น่าสนใจ    
– อาร์เซน่อล ไม่ชนะ แมนฯ ยูไนเต็ด ในเกมลีกที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด 12 นัดหลัง
– อาร์เซน่อล ชนะแค่ 3 จาก 27 เกมพรีเมียร์ลีกที่โรงละครแห่งความฝัน ทั้งสามนัดเฉือน 1-0 โดยเจ้าถิ่นมี โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ลงสนามทั้งหมด
– อาร์เซน่อล หวังคว้าชัยเหนือ แมนฯ ยูไนเต็ด ติดต่อกันในลีกครั้งแรกตั้งแต่ซีซั่น 2006-07
– แมนฯ ยูไนเต็ด แพ้ 3 จาก 6 เกมลีกในบ้านหลังสุดเท่ากับที่เสียท่าจาก 52 นัดก่อนหน้ารวมกัน
– แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่แพ้ทีมจากลอนดอนในบ้านติดต่อกันตั้งแต่เสียท่า เชลซี กับเวสต์แฮม เดือนธันวาคม 2001
– โซลชา พา แมนฯ ยูไนเต็ด ชนะ 14 เสมอ 6 แพ้ 7 เท่ากับ 27 นัดสุดท้ายยุค โชเซ่ มูรินโญ่
– ถ้าไม่ชนะนัดนี้ แมนฯ ยูไนเต็ด จะเก็บแต้มไม่ถึงสองหลักครั้งแรกตั้งแต่ซีซั่น 1989-90 ซึ่งจบอันดับ 13 ในฤดูกาลนั้น
– แมนฯ ยูไนเต็ด ยิงในลีกมากกว่านัดละ 1 ประตูหนเดียวจาก 11 เกมหลังคือวันถล่ม เชลซี 4-0
– แมนฯ ยูไนเต็ด ได้จุดโทษมากสุดซีซั่นนี้ (4) ขณะที่ อาร์เซน่อล เสียจุดโทษมากสุดเช่นกัน (3)
– อาร์เซน่อล เก็บคลีนชีตเพียงครั้งเดียวจาก 11 เกมลีกหลังสุด
– อาร์เซน่อล เสียอย่างน้อย 2 ประตูใน 4 เกมลีกหลังสุด หนหลังสุดที่ยิง 2 ประตูหรือมากกว่า 5 เกมลีกสูงสุดติดต่อกันคือสิงหาคม 1985
– ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมย็อง ยิง 13 ประตูจาก 13 เกมลีกที่ลงเล่นตัวจริง
– ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมย็อง เท้าบอดและไม่มีกระทั่งแอสซิสต์ใน 8 เกมลีกที่ออกไปเยือนทีมกลุ่ม 6 อันดับแรก
– นิโกล่าส์ เปเป้ ยิงจุดโทษเข้า 10 ประตูนับตั้งแต่เริ่มซีซั่นทีแล้วเป็นสถิติดีสุด 5 ลีกใหญ่ยุโรป

ผลการพบกันที่ผ่านมา
วัน/เดือน/ปี รายการ         ผลการแข่งขัน

10/03/19    พรีเมียร์ลีก        อาร์เซน่อล ชนะ แมนฯ ยูไนเต็ด 2-0
26/01/19    เอฟเอ คัพ        อาร์เซน่อล แพ้ แมนฯ ยูไนเต็ด 1-3     
06/12/18    พรีเมียร์ลีก        แมนฯ ยูไนเต็ด เสมอ อาร์เซน่อล 2-2     
29/04/18    พรีเมียร์ลีก        แมนฯ ยูไนเต็ด ชนะ อาร์เซน่อล 2-1
03/12/17    พรีเมียร์ลีก        อาร์เซน่อล แพ้ แมนฯ ยูไนเต็ด  1-3
07/05/17    พรีเมียร์ลีก      อาร์เซน่อล ชนะ แมนฯ ยูไนเต็ด 2-0

ผลงาน 5 นัดหลัง
แมนฯ ยูไนเต็ด

25/09/19   เสมอ รอชเดล 1-1 (เหย้า) ลีก คัพ  
22/09/19    แพ้ เวสต์แฮม 0-2  (เยือน) พรีเมียร์ลีก
19/09/19   ชนะ อัสตานา 1-0 (เหย้า) ยูโรปา ลีก  
14/09/19   ชนะ เลสเตอร์ ซิตี้ 1-0 (เหย้า) พรีเมียร์ลีก
31/08/19    เสมอ เซาธ์แฮมป์ตัน 1-1 (เยือน) พรีเมียร์ลีก

อาร์เซน่อล
24/09/19   ชนะ ฟอเรสต์ 5-0  (เหย้า) ลีก คัพ  
22/09/19   ชนะ แอสตัน วิลล่า 3-2 (เหย้า) พรีเมียร์ลีก
19/09/19   ชนะ แฟร้งค์เฟิร์ต 3-0 (เยือน) ยูโรปา ลีก
15/09/19   เสมอ วัตฟอร์ด 2-2 (เยือน) พรีเมียร์ลีก
01/09/19    เสมอ สเปอร์ส 2-2  (เหย้า) พรีเมียร์ลีก

post

แมนฯ ยูไนเต็ด vs อาร์เซน่อล : เกมสนุกที่แทบไม่เหลือมนต์ขลัง

Football-227

คำพูดของ รอย คีน อดีตกัปตันทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่พูดใส่ ปาทริค วิเอร่า อดีตกัปตันทีม อาร์เซน่อล ว่า “เดี๋ยวฉันจะไปเจอแกในสนาม”, การที่นักเตะ “ปีศาจแดง” ทำฟาวล์แบบไม่สมควรใส่นักเตะ “ไอ้ปืนใหญ่” หลายครั้งใน “ศึกแห่งบุฟเฟ่ต์”, การที่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน โดนปาพิซซ่าใส่หลังจบเกม ฯลฯ คือตัวอย่างที่มักจะถูกพูดถึงกัน เมื่อพูดถึงเรื่องความดุเดือดเกี่ยวกับความเป็นคู่แข่งกันระหว่าง แมนฯ ยูไนเต็ด และ อาร์เซน่อล

    เป็นเวลาหลายปีที่ แมนฯ ยูไนเต็ด กับ อาร์เซน่อล คือคู่อริที่มีความดุเดือดมากที่สุดของวงการฟุตบอลอังกฤษ จนถึงขนาดที่ว่าทางสถานีโทรทัศน์เคยยอมเลื่อนเกมการแข่งขันจากเวลาบ่าย 3 โมง ที่ไม่ใช่ช่วงที่มีคนดูมากเท่าไหร่ ไปเป็นช่วงเวลาไพรม์ไทม์ของสถานี เพื่อที่จะได้เพิ่มเรตติ้ง ขณะที่เกมนัดชิงชนะเลิศของ เอฟเอ คัพ เมื่อฤดูกาล 2004-05 ที่ อาร์เซน่อล เป็นฝ่ายชนะในช่วงดวลจุดโทษนั้น มันก็มีคนชมเกมนี้ทั่วโลกถึงมากกว่า 480 ล้านคนด้วยกัน

Football-228

    นอกจากนี้ เกมลีกที่ทั้งคู่ลงเจอกันก็มักจะถูกมองว่าเป็นเกมที่มีความสำคัญต่อการลุ้นแชมป์ลีกมากๆ จนทำให้นักเตะของทั้งสองทีมเตะกันเหมือนกะเอาให้อีกฝ่ายตาย และเหมือนจับดาบลงไปทำสงครามกัน จนทำให้เคยมีใบเหลืองใบแดงปลิวว่อนไปหมด

    น่าเศร้าที่ปัจจุบันความดุเดือดของการเป็นคู่อริกันระหว่างทั้งคู่หายไปเยอะ จริงอยู่ในด้านรูปเกมแล้วมันอาจจะยังทำให้แฟนบอลรู้สึกสนุกในระดับหนึ่ง เพราะหนสุดท้ายที่การเจอกันของทั้งคู่จบลงด้วยการเสมอกันแบบไร้สกอร์ในเกมแบบมีความหมายมันต้องย้อนไปถึงเกมลีกนัดที่เจ๊ากัน 0-0 ที่บ้านของ อาร์เซน่อล เมื่อปี 2014 แต่ความดุเดือดของการแข่งขันก็ไม่ได้ดีเหมือนเดิม โดยในรอบ 10 เกมหลังสุดของการเจอกันในทุกรายการ มันมีคนโดนไล่ออกแค่คนเดียว นั่นคือ ปอล ป็อกบา ที่โดนใบแดงเมื่อปี 2017 แต่วันนั้น แมนฯ ยูไนเต็ด ก็ยังชนะไป 3-1

Football-229

    ทั้งนี้ หลายคนมองว่าสิ่งที่เป็นเหมือน “จุดจบ” ของความเป็นคู่อริกันของทั้งคู่คือการที่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ตำนานผู้จัดการทีม แมนฯ ยูไนเต็ด ตัดสินว่า อาร์แซน เวนเกอร์ อดีตยอดนายใหญ่ของ อาร์เซน่อล ไม่สามารถทำให้ทีมมีลุ้นแย่งแชมป์กับเขาได้อีกต่อไป แถมยังมีการมาถึงของ โชเซ่ มูรินโญ่ ที่ตอนนั้นเป็นกุนซือหนุ่มสุดห้าวด้วย

    นอกจากนี้ ทั้งสองทีมยังทำการซื้อ-ขายนักเตะกันแบบเป็นมิตรในระดับหนึ่งในช่วงตั้งแต่ปี 2008 เป็นต้นมาอีกต่างหาก ไม่ว่าจะเป็น มิกาแอล ซิลแวสต์ ที่ย้ายจาก แมนฯ ยูไนเต็ด ไปซบ อาร์เซน่อล ในปี 2008, โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ ที่บอกลากรุงลอนดอนมาอยู่กับทีมสีแดงของเมืองแมนเชสเตอร์ตามเสียงเรียกร้องของหัวใจของตัวเองในปี 2012, แดนนี่ เวลเบ็ค ที่เดินทางลงไปกรุงลอนดอนแทนในปี 2 ปีต่อมา และดีลย้ายสลับขั้วสุดฮือฮาระหว่าง อเล็กซิส ซานเชซ กับ เฮนริค มคิทาร์ยาน ที่สุดท้ายก็ล้มเหลวกับทีมใหม่ทั้งคู่ ทั้งที่ถ้าเป็นสมัยที่ยังเป็นคู่อริกันแล้วนั้น มันแทบจะไม่มีความเป็นไปได้เลยที่จะเกิดการทำธุรกิจกันระหว่างทั้งสองทีม

Football-230

    สิ่งที่เลวร้ายที่สุดเกี่ยวกับความเป็นคู่อริกันของ แมนฯ ยูไนเต็ด กับ อาร์เซน่อล ก็คือ เดิมพันจากการที่เคยขับเคี่ยวลุ้นแชมป์กัน แทบจะเหลือเพียงการ “ชิงอันดับในกลุ่มบนของตารางคะแนน” กันเท่านั้น หลังจากช่วงหลายปีที่ผ่านมาผลงานของทั้งสองทีมต่างก็ถือว่าน่าผิดหวังเมื่อเทียบกับความยิ่งใหญ่ในอดีต จนแทบจะไม่มีนัดไหนเลยที่ตอนนั้นทั้งสองทีมอยู่ในกลุ่มลุ้นแชมป์พร้อมๆ กัน อย่างดีที่สุดคือตอนนั้นมีเพียงทีมเดียวที่มีลุ้นแชมป์

    อาร์เซน่อล ถูกหลายคนปรามาสว่าหลุดจากกลุ่มลุ้นแชมป์มานานแม้กระทั่งตั้งแต่ตอนที่ เวนเกอร์ ยังอยู่ในตำแหน่งแล้ว โดยแชมป์ลีกครั้งล่าสุดของพวกเขาต้องย้อนไปถึงฤดูกาล 2003-04 และแม้ว่าในซีซั่นต่อมาพวกเขาจะเป็นรองแชมป์ แต่ก็มีแต้มน้อยกว่า เชลซี ที่เป็นแชมป์ถึง 8 แต้ม นอกจากนี้ ถ้านับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา อาร์เซน่อล ก็เป็นรองแชมป์อีกเพียงแค่ครั้งเดียว นั่นคือซีซั่น 2015-16 แต่มันก็ไม่ใช่สิ่งที่น่าอวดเท่าไหร่ เพราะพวกเขาแพ้ เลสเตอร์ ซิตี้ ถึง 10 คะแนน

Football-231

    ขณะที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ก็อย่างที่รู้กันดีว่าล้มเหลวอย่างหนักนับตั้งแต่หมดยุคของ เฟอร์กูสัน ถึงแม้จะมีแชมป์บอลถ้วยอยู่บ้าง แต่ในลีกก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะคว้าแชมป์สมัยที่ 21 มาครองได้ โดยหลังจากที่ เฟอร์กูสัน วางมือจากการคุมทีมไปเมื่อช่วงซัมเมอร์ ปี 2013 “ปีศาจแดง” ก็ติดท็อปโฟร์เพียงแค่ 2 ครั้ง และแม้จะเป็นรองแชมป์ลีก 1 หน ในฤดูกาล 2017-18 แต่มันก็ไม่ได้น่าภูมิใจเหมือนกัน เพราะพวกเขาแพ้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ถึง 19 คะแนน

    แน่นอน เกมในวันจันทร์นี้มีโอกาสที่รูปเกมในสนามจะน่าตื่นตาตื่นใจ อย่างเช่น แมนฯ ยูไนเต็ด ที่มีดาวรุ่งฟอร์มฮอตอย่าง แดเนี่ยล เจมส์ หรือ อาร์เซน่อล ที่มีกองหน้าชั้นยอดอย่าง ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมยอง แต่ในเรื่องการเตะกันแบบเหมือนกับว่าสนามบอลเป็นเหมือนสนามรบคงเกิดขึ้นได้ยาก เพราะดีกรีความเป็นคู่แข่งกันมันเบาลงไปเยอะ

Football-232

    และเกมในวันจันทร์นี้ก็จะเป็นอีก 1 นัดที่การเจอกันระหว่าง แมนฯ ยูไนเต็ด กับ อาร์เซน่อล เป็นเพียงการสู้กันเพื่อ “ชิงอันดับที่ดี” ไม่ใช่การลุ้นแชมป์เหมือนในอดีต ซึ่งมันก็ทำท่าว่าจะเป็นอย่างนี้ไปอีกพักหนึ่งด้วย

Football-233

เกร็ดที่น่าสนใจ
    – การเจอกันครั้งแรกในเกมแบบเป็นทางการ – ดิวิชั่น 2 วันที่ 13 ตุลาคม 1894 โดยที่ นิวตัน ฮีธ (ชื่อเดิมของ แมนฯ ยูไนเต็ด เสมอกับ วูลวิช อาร์เซน่อล 3-3
    – เกมที่ยิงกันเยอะที่สุด – แมนฯ ยูไนเต็ด ชนะ อาร์เซน่อล 8-2 เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2011
    – ครั้งสุดท้ายที่ อาร์เซน่อล บุกไปชนะ แมนฯ ยูไนเต็ด ถึง โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เมื่อนับรวมทุกรายการ – เกม เอฟเอ คัพ รอบก่อนรองชนะเลิศ ฤดูกาล 2014-15 อาร์เซน่อล ชนะ 2-1
    – ครั้งสุดท้ายที่ อาร์เซน่อล บุกไปชนะ แมนฯ ยูไนเต็ด ถึง โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ในเกมลีก – ปี 2006 อาร์เซน่อล ชนะ 1-0

post

หงส์ไม่ง่าย!เกร็ดน่าสนใจเกมลิเวอร์พูลเยือนเชฟฯยูไนเต็ด

Football-224

“หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ทีมจ่าฝูง พรีเมียร์ลีก มีโอกาสดีที่จะยืดสถิติชนะรวด 100% ออกไปเป็นเกมที่ 7 เพราะคืนวันเสาร์ที่ 28 กันยายนนี้ ลูกทีมของกุนซือ เจอร์เก้น คล็อปป์ มีโปรแกรมบุกไปเยือนทีมน้องใหม่อย่าง เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ที่สังเวียนแข้ง บรามอลล์ เลน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นหากย้อนดูสถิติที่ผ่านมา นี่คือสนามที่ไม่ง่ายเลยสำหรับ ลิเวอร์พูล และข้างล่างนี้คือเกร็ดความรู้เล็กๆ น้อยๆ รวมถึงสถิติที่น่าสนใจก่อนเกมนี้

    * เฮด-ทู-เฮด *

    – เชฟฯ ยูไนเต็ด ไม่ได้เจอกับ ลิเวอร์พูล ที่ บรามอลล์ เลน (รวมทุกรายการ) มาตั้งแต่เกม พรีเมียร์ลีก นัดเปิดซีซั่น 2006/07 ซึ่งเกมดังกล่าวจบลงด้วยการเจ๊า 1-1

    – ลิเวอร์พูล ไม่เคยบุกไปเอาชนะ เชฟฯ ยูไนเต็ด ในเกม พรีเมียร์ลีก ได้เลย จากการดวลกันทั้งหมด 3 ครั้ง (เสมอ 2 แพ้ 1) แถมยิงได้แค่ประตูเดียว

    – บรามอลล์ เลน เป็นเพียงหนึ่งในสามสนามที่ ลิเวอร์พูล ไม่เคยบุกไปเก็บชัยชนะในศึก พรีเมียร์ลีก ได้เลย ส่วนอีกสองแห่งคือ ซิตี้ กราวด์ ของ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ (5 เกม) และ บลูมฟิลด์ โร้ด ของ แบล็คพูล (1 เกม)

    – ครั้งสุดท้ายที่ “หงส์แดง” บุกไปเอาชนะ เชฟฯ ยูไนเต็ด ต้องย้อนกลับไปยาวๆ ในช่วงเดือนสิงหาคมปี 1990 ซึ่งครั้งนั้น ลิเวอร์พูล คว้าชัยด้วยสกอร์ 3-1 (สมัยเป็น ดิวิชั่น 1) จากประตูของ จอห์น บาร์นส์, เรย์ เฮาจ์ตัน และ เอียน รัช

Football-225

    * เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด *

    – “ดาบคู่” ลุ้นคว้าชัยเกม พรีเมียร์ลีก สองนัดติด ซึ่งถ้าทำได้ก็จะถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2006

    – อย่างไรก็ตาม ถ้าแพ้ ก็จะถือเป็นการปราชัยคาบ้านในเกมลีกสูงสุด 3 นัดติดเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่ปี 1990

    – ทั้ง 7 ประตูที่ เชฟฯ ยูไนเต็ด ทำได้ในศึก พรีเมียร์ลีก ฤดูกาลนี้ มาจากการทำโดยนักเตะ 7 คน (รวมทั้ง 2 ประตูจากโอว์นโกล)

Football-226

     * ลิเวอร์พูล *

    – ถ้าเก็บชัยชนะในเกมวันเสาร์นี้ได้ “หงส์แดง” จะกลายเป็นทีมที่สองในประวัติศาสตร์ พรีเมียร์ลีก ที่คว้าชัยรวดใน 7 เกมแรกของฤดูกาล ต่อจาก เชลซี ในซีซั่น 2005/06 (ซีซั่นดังกล่าว เชลซี คว้าชัยรวดใน 9 เกมแรก และจบลงด้วยการคว้าแชมป์)

    – อย่างไรก็ตาม ครั้งสุดท้ายที่ ลิเวอร์พูล เฮรวดใน 7 เกมแรกของฤดูกาล ต้องย้อนกลับไปในสมัยที่เป็น ดิวิชั่น 1 ฤดูกาล 1990/91 ซึ่งซีซั่นดังกล่าว “หงส์แดง” คว้าชัยรวดใน 8 เกมแรก แต่สุดท้ายจบด้วยการเป็นแค่ “รองแชมป์” (อาร์เซน่อล ซิวแชมป์)

     – ลิเวอร์พูล คว้าชัยรวด 12 เกมหลังสุด ที่เจอกับทีมน้องใหม่ในศึก พรีเมียร์ลีก แถมกดไปถึง 35 ประตู และเสียแค่ 4 ลูกในช่วงดังกล่าว

    – ลิเวอร์พูล ไม่แพ้เกมลีกมา 23 นัดติดต่อกันแล้ว ซึ่งถือเป็นสถิติดีสุดของสโมสร นับตั้งแต่ที่เคยไร้พ่าย 31 เกมติดสมัยเป็น ดิวิชั่น 1 ช่วงระหว่างเดือนพฤษภาคม ปี 1987 ถึงเดือนมีนาคม ปี 1988

    – นอกจากนี้ “หงส์แดง” ยังมีสถิติชนะรวดในเกม พรีเมียร์ลีก 15 นัดหลังสุดด้วย แต่ยังคงตามหลังสถิติสูงสุดที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เคยทำไว้ 18 นัดติด ช่วงระหว่างเดือนสิงหาคม ถึง ธันวาคม ปี 2017

    – เชฟฯ ยูไนเต็ด จะเป็นทีมคู่แข่งรายที่ 24 ที่ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ดาวยิงตัวเก่ง ลิเวอร์พูล มีโอกาสได้เผชิญหน้าในศึก พรีเมียร์ลีก โดย 23 ทีมที่ ซาลาห์ เจอมาก่อนหน้านี้ มีแค่ สวอนซี ซิตี้ (2 เกม) กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (4 เกม) เท่านั้น ที่เจ้าตัวไม่เคยทำประตูได้

post

สื่อดังเผยลิเวอร์พูลใช้ไนกี้ พร้อมแย้มสีเสื้อเยือนใหม่ปีหน้า

Football-223

ฟุตตี้เฮดไลน์ส สื่อด้านผลิตภัณฑ์วงการฟุตบอลชื่อดัง ระบุ ในซีซั่นหน้า ลิเวอร์พูล จะใช้ชุดแข่งของ ไนกี้ แน่นอน โดยที่ นิว บาลานซ์ ยื่นเรื่องร้องเรียนก็เป็นเพราะต้องการค่าชดเชยเท่านั้น แถมยังบอกอีกว่าชุดเยือนในฤดูกาล 2020-21 ของ ลิเวอร์พูล จะเป็นสีเขียว

    ลิเวอร์พูล ยอดสโมสรแห่งเวที พรีเมียร์ลีก อังกฤษ จะเปลี่ยนไปใช้ชุดแข่งของ ไนกี้ บริษัทผลิตภัณฑ์ด้านกีฬายักษ์ใหญ่อย่างแน่นอน ในฤดูกาลหน้า แม้ว่าก่อนหน้านี้จะมีการเปิดเผยว่า นิว บาลานซ์ สปอนเซอร์ด้านชุดแข่งเจ้าปัจจุบันของ “หงส์แดง” ได้ยื่นเรื่องฟ้องร้อง ลิเวอร์พูล ก็ตาม จากการรายงานของ ฟุตตี้เฮดไลน์ส สื่อด้านผลิตภัณฑ์วงการฟุตบอลที่มีความน่าเชื่อถือสูง

    ด้วยความที่สัญญาระหว่าง ลิเวอร์พูล กับ นิว บาลานซ์ จะหมดลงในช่วงซัมเมอร์ ปีหน้า ทำให้ช่วงที่ผ่านมายอดทีมแห่งถิ่น แอนฟิลด์ มีข่าวเจรจากับบริษัทผลิตภัณฑ์กีฬาชื่อดังหลายเจ้า เพื่อที่จะทำสัญญาด้านชุดแข่งกัน ซึ่ง ไนกี้ ก็ถูกมองว่าเป็นเต็ง 1 ที่จะได้ทำสัญญากับ ลิเวอร์พูล หลังจากบริษัทดังกล่าวเสนอเงินให้มหาศาลจนถึงขนาดที่สื่อบางรายบอกว่าจะทำลายสถิติด้านสัญญาชุดแข่งใน พรีเมียร์ลีก เลย โดยปัจจุบันสถิติดังกล่าวเป็นของ แมนฯ ยูไนเต็ด ที่ได้เงินจาก อาดิดาส ฤดูกาลละ 75 ล้านปอนด์ (ประมาณ 2,850 ล้านบาท)

    ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ดีลระหว่าง ลิเวอร์พูล กับ ไนกี้ มันดูเหมือนว่าจะเรียบร้อยแบบไร้ดราม่า หลังจากที่ว่ากันว่าทั้งสองฝ่ายบรรลุข้อตกลงแบบปากเปล่าแล้ว เหลือเพียงรอให้มีการประกาศอย่างเป็นทางการ แต่ทาง นิว บาลานซ์ ก็ตัดสินใจดำเนินคดีทางกฎหมายกับ ลิเวอร์พูล ผ่านทางศาลสูง โดยเชื่อกันว่าสัญญาฉบับปัจจุบันระหว่าง นิว บาลานซ์ กับ ลิเวอร์พูล มีเงื่อนไขด้วยว่า นิว บาลานซ์ มีสิทธิ์ที่จะให้ข้อเสนอเท่ากับข้อเสนอสูงสุดของเจ้าอื่น เพื่อที่พวกเขาจะได้มีโอกาสสูงในการเป็นพันธมิตรกับ ลิเวอร์พูล ต่อ

    อย่างไรก็ตาม ฟุตตี้เฮดไลน์ส เปิดเผยว่าการฟ้องร้องของ นิว บาลานซ์ มันน่าจะเป็นเพียงการเรียกร้องค่าชดเชยเท่านั้น ไม่ใช่การเดินเรื่องเพื่อที่จะได้เป็นคนทำชุดแข่งให้ ลิเวอร์พูล ต่อ โดยสื่อเจ้าดังกล่าวถึงขนาดบอกด้วยว่า ไนกี้ กำหนดได้แล้วว่าในฤดูกาลหน้าชุดเยือนของ ลิเวอร์พูล จะใช้สีเขียวอ่อน โดยมันจะเป็นการสื่อถึงชุดเยือนช่วงทศวรรษ 90 ของยอดทีมแห่งถิ่น แอนฟิลด์ ที่ใช้สีเขียวเหมือนกัน โดยตอนนั้น ลิเวอร์พูล ใช้เสื้อของ อาดิดาส

    ถึงกระนั้น มันก็ยังไม่มีภาพแม่แบบหลุดออกมาแต่อย่างใด และถึงแม้มันจะมีโอกาสที่ ไนกี้ อาจจะเปลี่ยนไปใช้สีเขียวเข้มในการตัดสินใจขั้นสุดท้ายก่อนการผลิต แต่มันก็ดูมีความเป็นไปได้น้อยมากที่จะเป็นอย่างนั้น เมื่อพิจารณาถึงเรื่องที่ชุดเหย้าของ ลิเวอร์พูล ใช้สีแดงเข้มอยู่แล้ว ขณะที่ถ้าชุดเยือนของ ลิเวอร์พูล ใช้สีเขียวจริงๆ มันก็จะเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2008-09 ที่ ลิเวอร์พูล เอาสีเขียวมาเป็นชุดแข่ง โดยในซีซั่นนั้นชุดสีเขียวเป็นชุดแข่งแบบที่สามของทีม

    นอกจากนี้ มันก็ยังไม่ชัวร์ว่า ไนกี้ จะยังใช้โลโก้ทีมบนชุดแข่งเป็นรูปไลเวอร์เบิร์ดเพียวๆ เหมือนชุดของ นิว บาลานซ์ กับ วอร์ริเออร์ หรือจะกลับไปใช้ตราสโมสรแบบเต็มยศเหมือนสมัยที่ ลิเวอร์พูล ใช้ชุดแข่งของ อาดิดาส ด้วย

post

จะอยู่ถึงแดงเดือดมั้ย?

Football-222

    และอีกอึดใจเดียว ผลลัพธ์ก็จะปรากฏออกมาแล้วว่า โอเล่ กุนนาร์ โซลชา สามารถแก้หน้าจากที่พาทีมออกไปแพ้ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด แบบหมดสภาพ 2-0 ในเกมพรีเมียร์ลีกได้หรือเปล่า

    แต่ไม่ว่าจะอย่างไร นายใหญ่ชาวนอรเวย์ก็ได้รับเกียรติจากบริษัทรับพนันหลายเจ้ายกให้เป็น “เต็งสอง” ที่จะตกเก้าอี้ โดยมี มาร์โก ซิลวา ผู้จัดการทีม เอฟเวอร์ตัน รั้งตำแหน่ง “เต็งจ๋า” ชนิดที่ไม่มีผู้จัดการทีมคนไหนอยากยืนเด่นเป็นสง่าอยู่ในจุดนี้

    ถึงอย่างนั้นก็เถอะ หาก ผีแดง มีผลงานที่ไม่เอาไหนในเกมต้อนรับ สมันน้อย ขึ้นมาแล้วล่ะก็ มันก็ไม่แน่ว่า โซลชา อาจผงาดขึ้นเป็น  “เต็งหาม” คนใหม่แทนที่ ซิลวา เลยก็ได้

    ซึ่งหากเป็นอย่างนั้น นัดต่อไปในเกมปะทะกับ อาร์เซน่อล ทำศึกพรีเมียร์ลีกที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด มันก็อาจเข้าข่าย “เกมแห่งชีวิต” ของกุนซือหน้าทารกเลยก็ว่าได้

    และสำหรับนาทีนี้ ไม่ว่า แมนฯ ยูไนเต็ด จะต้องต่อกรกับคู่แข่งรายไหน พวกเขาก็พร้อมเดินออกจากสนามในสภาพคอตกเสมอเนื่องจากมีผลลัพธ์ที่เลวร้ายซ้ำแล้วซ้ำอีก

    เท่านั้นไม่พอ จะสังเกตได้ว่า ยิ่งคุมทีม โซลชา ก็ยิ่งหมดมุก และมันฟ้องให้เห็นว่าเขาไม่ใช่คนที่จะกอบกู้ แมนฯ ยูไนเต็ด ได้เลย

    ก็ขนาดกุนซือระดับอ๋องทั้ง หลุยส์ ฟาน กัล และ โชเซ่ มูรินโญ่ ยังพาทีมกลับคืนสู่ความยิ่งใหญ่ไม่ได้ แล้วดีกรีอย่าง โซลชา จะทำได้สำเร็จล่ะหรือ?

    ว่ากันตามจริง ขุนพล ผีแดง ชุดปัจจุบันนี้มีฝีเท้าที่ด้อยคุณภาพอย่างแรง ไม่ผ่านมาตรฐานของทั้ง อย. มอก. และ ฯลฯ

    ฉะนั้นแล้ว จึงเป็นเรื่องน่าเศร้าเหลือหลายที่สโมสรใช้เงินในจุดนี้ได้อย่างไม่คุ้มค่า

    เพราะไม่ว่าจะดึงใครเข้ามาเสริมทัพก็ล้วนเอาดีไม่ได้ซะเป็นส่วนใหญ่

    ต่อประเด็นนี้ มันเป็นปัญหาเรื้อรังของทีมลูกหนังตรา ปีศาจถือสามง่าม มานานหลายปีดีดักแล้ว อันทำให้สื่อปักใจมโนกันว่า แมนฯ ยูไนเต็ด พร้อมผุดตำแหน่ง ผู้อำนวยการฟุตบอล มาดูแลงานสำคัญด้านนี้

    แต่จนแล้วจนรอด จวบจนวันนี้ มันยังเป็นสิ่งที่สื่ออิงลิชหมกมุ่น และงมงายกันไปเอง

    แถมล่าสุดเมื่อไม่นานมานี้ เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ อดีตนายทวารของสโมสรที่โดนโยงชื่ออีกรอบได้เปิดปากปฏิเสธข่าวลือแล้วว่าไม่คิดอำลาตำแหน่งซีอีโอของ อาแจ็กซ์ กลับมารับงานในรั้วโรงละครอย่างที่สื่อพยายามโมเม

    นอกจากนักเตะในทีมจะไม่เอาไหนแล้ว กุนซือระดับอย่าง โซลชา ก็พิสูจน์ตัวเองมาไม่มากพอ มันจึงเป็นสองแรงบวกทำให้ ผีแดง ตกต่ำดำดิ่งไม่เลิก

    รวมแล้วนับตั้งแต่ได้กุมบังเหียน แมนฯ ยูไนเต็ด อย่างเป็นทางการ โซลชา ถูกแฉสถิติออกมาว่าเขาทำได้แค่พาทีมรั้งอันดับที่ 13 ของตารางพรีเมียร์ลีกเท่านั้น

    คิดดูก็แล้วกันว่ามันน่าหดหู่ขนาดไหนสำหรับอดีตยักษ์ใหญ่ที่เคยรุ่งเรืองคับเกาะอังกฤษ

     พูดได้เลยว่า แมนฯ ยูไนเต็ด มีพร้อมทุกอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องกำลังเงินที่ไม่เป็นรองใครทั้งนั้น

    หากแต่สิ่งที่พวกเขาเป็นรองหลายๆทีมก็คือบุคคลากรนั่นเอง

    ดังคำกล่าวที่ว่าชาติจะพัฒนาได้ก็ต้องอาศัยประชากรที่มีคุณภาพ

    หรือไม่หากเปรียบเป็นกองทัพ นาทีนี้แม่ทัพอย่าง โซลชา ก็ไม่ได้กร้างแกร่งมากพอที่จะบัญชาการรบได้เลย

    เรียกว่าต่อให้รบกี่รอบก็เตรียมตัวแพ้ได้เลยว่างั้น

    และมันแน่ยิ่งกว่าแช่แป้งอยู่แล้วว่า โซลชา จะต้องกระเด็นออกจากโรงละคร ไม่ช้าก็เร็ว

    ถึงตอนนี้ บอร์ด ผีแดง ได้แต่ซื้อเวลาเท่านั้นเพราะอันที่จริงพวกเขาเพิ่งมอบสัญญาสามปีให้กับ โซลชา เมื่อหกเดือนก่อนนี่เอง

    หากจะปลดแล้วเปลี่ยนผู้จัดการทีมกันใหม่ตั้งแต่วันนี้พรุ่งนี้ มันก็จะเหมือนเด็กเล่นขายของมากเกินไป

    ให้น่าเสียดายที่ แมนฯ ยูไนเต็ด เมิน อันโตนิโอ คอนเต้ อดีตกุนซือ เชลซี ซึ่งมีดีกรีเหนือกว่า โซลชา หลายขีดขั้น

    เพราะหลังจากเอือมระอากับแผนการเล่นที่น่าง่วงประดุจยานอนหลับชั้นดีของ ฟาน กัล ซึ่งเน้นครองบอลท่าเดียว เรื่อยมาจนถึงตำราพิชัยสงครามฉบับ “รถบัส” ของ มูรินโญ่ แฟนผีจึงเรียกร้องอยากได้คนในหวนกลับมาคุมทัพ

    แล้วในที่สุด พวกเขาก็สมดังหวังเนื่องจาก โซลชา ก็ถือเป็นอีกหนึ่งศิษย์รักของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน

    แน่นอนว่างานวิวาห์รอบนี้มันช่างหวานชื่นซะเหลือเกิน เข้าทำนอง “ข้าวใหม่ปลามัน” นั่นเอง

    หากแต่ยามนี้ ช่วงเวลาของการ ฮันนีมูน ผ่านไปแล้ว โซลชา จึงเริ่มได้ยินเสียงตะโกนโหวกเหวกรุมขับไล่จากสาวกปีศาจ

    หลังเกมกับทีม ปืนใหญ่ หาก โซลชา ยังรักษาเก้าอี้เอาไว้ได้ สองนัดต่อไปของเขาจะเป็นเกม ยูโรปาลีก บุกไปเยือน อาแซด และต่อด้วยเกมพรีเมียร์ลีกฟัดกับ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ในแดนอีสาน

    กระทั่งวันที่ 20 ต.ค.มันน่าจะเป็นเกมที่สำคัญที่สุดในซีซั่นของ แมนฯ ยูไนเต็ด ซึ่งก็คือการเปิดบ้านต้อนรับ ลิเวอร์พูล อริตลอดกาลในเกมแดงเดือด

    จากฟอร์มการเล่นเท่าที่เห็น ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าแฟนผีมักน้อยแน่ และหวังแค่ว่าทีมรักแชร์แต้มกับ ลิเวอร์พูล ในรังได้ก็เป็นสุขใจแล้วเพราะอย่างน้อยมันก็เป็นการปัดแข้งปัดขา หงส์แดง ได้เล็กๆ

    ว่าแต่ว่า โซลชา จะอยู่คุมทีมได้จนถึงวันนั้นหรือเปล่า

    หรือจะตกเก้าอี้หลังจบเกมแดงเดือดซ้ำรอย มูรินโญ่ นายใหญ่คนก่อนก็ไม่รู้!!!

post

รองเลขาเลสเตอร์เผยโอกาส’ชนาธิป’ลุยพรีเมียร์ฯ มีมากน้อยแค่ไหน

Football-221

รองเลขาธิการสโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ ยืนยันการมาค้าแข้งในลีกอังกฤษของ ชนาธิป สรงกระสินธ์ ในอนาคตเป็นเรื่องที่ลำบากมาก ชี้ปัญหาใหญ่คือเรื่องวีซ่า แถมทีมชาติไทยไม่ได้อยู่ในท็อป 70 ของโลกด้วย เผยแต่ยังสามารถไปเล่นในลีกยุโรปที่ไม่ใช่แดนผู้ดีได้แบบไร้ปัญหา

        คุณภุชงค์ มัสยวานิช รองเลขาธิการสโมสรและผู้จัดการโครงการ Fox hunt ของสโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ ได้ออกมาพูดถึงความน่าจะเป็นของ “เมสซี่เจ” ชนาธิป สรงกระสินธ์ เพลย์เมรกเกอร์ของสโมสร คอนซาโดเล่ ซัปโปโร ว่าจะมีโอกาสย้ายมาค้าแข้งในลีกประเทศอังกฤษหรือไม่ 

         ทางรองเลขาธิการสโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ ได้เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวฟุตบอลสยามถึงเรื่องดังกล่าวว่า “คือฝีมือเท่าที่เห็นน้องเจเล่น ก็ฝีมือเทคนิคดีถึงเขาจะตัวเล็กแต่เดี๋ยวนี้นักฟุตบอลเรื่องไซส์ตัวไม่มีปัญหา ถ้าเทคนิคถึง ฉลาดด้วย ไปเล่นที่ไหนก็ได้ แต่ที่เคยบอกไปก่อนหน้านี้ว่าเรื่องวีซ่าคือเรื่องใหญ่ เพราะหากทีมชาติไทยไม่ได้อยู่ในท็อป 70 ของโลก โอกาสที่คนที่จะเล่นอังกฤษยาก แต่ยุโรปสามารถเล่นได้ แต่อังกฤษเรื่องวีซ่า เรื่องเวิร์คเพอร์มิทจะลำบาก”

        ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า อุปสรรคของนักเตะไทยที่จะมายุโรป ปัญหาใหญ่สุดคืออะไร “จริงๆเรื่องวินัยก็เรื่องหนึง แต่ถ้าฝีมือสามารถมาถึงที่นี่แล้ววินัยก็ต้องมีอยู่แล้ว แต่มันไม่ง่าย อย่างหลังย้ายมาแล้วก็ต้องมีเวลาปรับตัว บางทีได้เล่นบ้างไม่ได้เล่นบ้างก็ต้องสู้ คือต้องสู้จนถึงนาทีสุดท้าย บางทีมาถึงปุบไม่ได้เล่นก็เข้าในว่าไกลบ้าน คิดถึงบ้านอาจจะทำให้ท้อ แต่อย่างแรกเรื่องวินัย เรื่องความเข้าใจเกม ทักษะ เทคนิค ความคล่องแคล่วว่องไว ความยืดหยุ่นของร่างกายซึ่งคนไทยไม่มีปีญหา”

        “สุดท้ายอย่างแรกทีมชาติไทยต้องขึ้นท็อป 70 ให้ได้ แล้วมันจะเปิดโอกาสให้นักเตะไทย หรือไม่ก็ต้องไปค้าแข้งที่ยุโรปประเทศอื่นก่อนที่ไม่ใช่อังกฤษ แล้วสัก 2-3 ปีก็บรูฟตัวเองให้ได้และถึงมาอังกฤษ แต่เรื่องวีซ่าเป็นเรื่องใหญ่ที่สุดจริงๆครับ”

post

“หงส์แดง” ยังไร้พ่าย!! บุกไปเฉือนชนะ “เชลซี” ถึงถิ่น 2-1 เก็บสถิติชนะ 6 นัดรวด ครองจ่าฝูงเหนียวแน่น

Football-213

ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฤดูกาล 2019-20 ประจำวันอาทิตย์ที่ 22 ก.ย. “สิงโตน้ำเงิน” เชลซี เปิดสนามสแตมฟอร์ด บริดจ์ แพ้ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล 1-2

โดยเกมนี้ครึ่งแรก ลิเวอร์พูลออกนำ 0-1 จากฟรีคิกหน้าเขตโทษโดย โมฮาเหม้ด ซาลาห์ ทำลูกสูตรตอกส้นให้ เทรนต์ อเล็กซานดอร์ อาร์โนลด์ ซัดเสียบมุมเข้าไปอย่างเฉียบขาดในนาทีที่ 14 ถัดมาในนาทีที่ 24 เชลซี มีโอกาสลุ้นประตูจาก แทมมี อับราฮัม หลุดเดี่ยวไปยิงในเขตโทษ แต่ อาเดรียน ประตูสำรองทีมเยือนเซฟออกไปได้อย่างสุดยอด จนกระทั่ง ลิเวอร์พูล หนีเป็น 0-2 จากจังหวะฟรีคิกฝั่งซ้ายโดย แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน เปิดบอลเข้าเขตโทษให้ โรแบร์โต เฟอร์มิโน โหม่งเข้าไปอย่างสวยงาม ในนาทีที่ 30 และจบครึ่งแรกไปด้วยสกอร์นี้

เกมในครึ่งหลัง ทั้งสองทีมผลัดกันเปิดแลกเกมบุกได้อย่างสนุกและเป็น เชลซี ได้ประตูไล่มาเป็น 1-2 จาก เอ็นโกโล ก็องเต้ โชว์ทักษะการเลี้ยงพาบอลหนีแนวรับทีมเยือนมาหน้าเขตโทษ แลัวปั่นด้วยขวาบอลพุ่งเสียบมุมเข้าไปอย่างสุดสวย ในนาทีที่ 71

จบเกม ลิเวอร์พูล บุกมาชนะ เชลซี 2-1 เก็บเพิ่มเป็น 18 คะแนน และนำเป็นจ่าฝูงต่อไป พร้อมเก็บสถิติชนะ 6 นัดรวด ทิ้งห่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ รองจ่าฝูง 5 คะแนน

รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม 

เชลซี : เกปา อาร์ริซาบาลาก้า,  เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า, อันเดรส คริสเตนเซ่น (เคิร์ท ซูม่า น.42), ฟิคาโย่ โทโมรี, เอแมร์ซอน (มาร์กอส อลอนโซ่ น.15), จอร์จินโญ่, เอ็นโกโล่ ก็องเต้, มาเตโอ โควาซิช, วิลเลี่ยน, แทมมี่ อับราฮัม (มิชี่ บาตชูอายี่ น.77), เมสัน เมาน์ท

ลิเวอร์พูล  : อาเดรียน, เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, โฌแอล มาติป, เฟอร์กิล ฟาน ไดจ์ค, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน (อดัม ลัลลาน่า น.84), ฟาบินโญ่, จอร์จินโย่ ไวจ์นัลดุม, โมฮาเหม็ด ซาลาห์ (โจ โกเมซ น.90+2), โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่, ซาดิโอ มาเน่ (เจมส์ มิลเนอร์ น.71)

Football-214
Football-215
Football-216
Football-217
Football-219