post

ดิมาเรียเบิ้ลทีมเก่า! ปารีสฯสอนเชิงเรอัลมาดริดเปิดหัวศึกแชมเปียนส์ลีก

Football-186

อังเคล ดิ มาเรีย ดาวเตะ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ยังคงเป็นตัวแสบเช่นเดิมหลังซัดสองเม็ดใส่ทีมเก่า “ราชันชุดขาว” เรอัล มาดริด ไปได้ 3-0 นำแชมป์ลีกเอิงคว้าสามแต้มประเดิมชัย ในการแข่งขันฟุตบอลยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม เอ นัดแรก คืนวันพุธที่ 18 กันยายน ที่ผ่านมา

     ศึกฟุตบอลยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม เอ นัดแรก คืนวันพุธที่ 18 กันยายน ที่ผ่านมา “เปแอสเช” ยักษ์ใหญ่แดนน้ำหอม เกมนี้ โธมัส ทูเคิ่ล ขาดดาวเตะอย่าง “เนย์มาร์” ที่ติดถูกแบนจากซีซั่นก่อน แถมไร้ชื่อ “คาวานี่-เอ็มบั๊ปเป้” ที่ยังบาดเจ็บอยู่ มีหัวหอกป้ายแดง เมาโร อีการ์ดี้ ประเดิมสนามเกมชปล.ให้ทีม ขณะที่ ซีเนดีน ซีดาน นายใหญ่ “ราชันชุดขาว” เรอัล มาดริด แชมป์รายการนี้ 13 สมัยส่งผู้เล่นตัวหลักลงครบ แนวรุกมี “อาซาร์-เบล” ช่วยหนุนเกมบุก คาริม เบนเซม่า หมายชัยชนะเปิดหัวบอลยุโรป

     เริ่มครึ่งแรกถึงนาทีที่ 14 ฆวน เบร์นาต เติมเกมบุกขึ้นมาจ่ายบอลให้ เมาโร อีการ์ดี้ ดีดทำชิ่งก่อนปาดมาในกรอบเขตโทษ และเป็น อังเคล ดิ มาเรีย วิ่งเข้ามาจิ้มด้วยเท้าซ้ายบอลเสียบเสาแรกเข้าไป เปแอสเช นำก่อน 1-0

     ถัดมาอีกเพียงสองนาที เอแด็น อาซาร์ รับบอลจากเพื่อนร่วมทีม ก่อนลองซัดบอลหน้ากรอบเขตโทษ บอลตรงเข้าประตูแต่ทว่า เกย์ลอร์ นาวาส นายด่านเจ้าถิ่นโชว์พุ่งตัวเซฟไว้ได้

     ต่อมานาทีที่ 34 เจ้าถิ่นเฮลั่น โธมัส มูนิเย่ร์ ทุ่มบอลให้ อิดริสซ่า กาน่า เกย์ เลี้ยงบอลแหวกผู้เล่นราชันชุดขาว ก่อนตบให้ อังเคล ดิ มาเรีย ที่ยืนอยู่หน้ากรอบเขตโทษ วางเท้าปั่นบอลผ่านมือ ติโบต์ กูร์กตัวส์ นายทวารทีมเยือน เข้าไปเป็นลูกที่สองของเจ้าตัวเกมนี้ เปแอสเชทิ้งเป็น 2-0

     ราชันชุดขาวชวดตีไล่มา แกเร็ธ เบล ซัดไกลหน้ากรอบเขตโทษบอลย้อยเข้าประตูไปอย่างสวยงาม ทว่ากรรมการขอดูวีเออาร์เนื่องจากผู้เล่นเปแอสเชประท้วงเป็นลูกแฮนด์บอลและยืนยันว่าบอลโดนมือจริง เรอัล มาดริด โดนริบสกอร์ไปในนาทีที่ 35 จบ 45 นาทีแรก ปารีสฯ ขึ้นนำ 2-0

     เริ่มครึ่งหลังผ่านถึงนาทีที่ 60 อังเคล ดิ มาเรีย หลุดเข้าในกรอบเขตโทษ ใช้เท้ากระดกบอลหวังให้ข้ามตัวผู้รักษาประตูคู่แข่งแต่บอลกลับลอยโด่งเหินข้ามคานออกไปอย่างน่าเสียดาย

     นาทีถัดมาเจ้าถิ่นเปิดเกมต่อ ฆวน เบร์นาต รับบอลจากเพื่อนริมกรอบเขตโทษ ไหลต่อให้ อังเคล ดิ มาเรีย จับบอลแบบไขว้เท้าแล้วจ่ายให้ ปาโบล ซาราเบีย ที่โฉบตัดหน้าแนวรับเรอัล มาดริด ยิงเสาแรกแต่บอลออกข้างเสาไปแบบมีลุ้น

     ราชันชุดขาวอดได้สกอร์อีกหนนาทีที่ 77 คาริม เบนเซม่า ได้ซัดเต็มข้อริมเขตโทษด้านซ้าย บอลพุ่งเสียบตาข่ายเข้าไป แต่ว่ากลับมีผู้เล่นเรอัล มาดริด ยืนล้ำหน้าก่อนบอลกระดอนมาหาดาวยิงชาวฝรั่งเศส อีกสองนาทีต่อมา คาริม เบนเซม่า ยืนโหม่งบอลจากการครอสของเพื่อนร่วมทีมที่เสาสอง ทว่าบอลยังคงเฉียดเสาออกหลังอีกคราช่วงนาทีที่ 79 

     ช่วงทดเจ็บเจ้าถิ่นยิงปิดแมตช์ โธมัส มูนิเย่ร์ ฟูลแบ็กเจ้าถิ่นแย่งบอลจากผู้เล่นราชันชุดขาว ก่อนลากตะลุยขึ้นหน้าจ่ายให้ อังเคล ดิ มาเรีย ตวัดบอลกลับคืนไปที่เจ้าตัวหลุดเดี่ยวไปทางริมสนามด้านขวา ก่อนตบบอลให้ ฆวน เบร์นาต ที่ยืนโล่งอยู่อีกฝั่งของกรอบเขตโทษ ไหลคืนกลับมาให้ โธมัส มูนิเย่ร์ ยิงเข้าไป จบเกม เปแอสเช ชนะ เรอัล มาดริด 3-0 คว้าสามแต้มประเดิมศึกชปล.รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม เอ

รายชื่อผู้เล่นที่ลงสนาม

ปารีส แซงต์ แชร์กแมง (4-3-3):เกย์ลอร์ นาวาส,โธมัส มูนิเย่ร์,ติอาโก้ ซิลวา,เพรสแนล คิมเพมเบ้,ฆวน เบร์นาต,มาร์กินญอส (อันเดร์ เอร์เรร่า น.70),อิดริสซ่า กาน่า เกย์,มาร์โก แวร์รัตติ,ปาโบล ซาราเบีย (อับดู ดิอาโล น.89),อังเคล ดิ มาเรีย,เมาโร อีการ์ดี้ (มักซิม ชูโป-โมติง น.60)

เรอัล มาดริด (4-3-3):ติโบต์ กูร์กตัวส์,ดานี่ การ์บาฆาล,เอแดร์ มิลิเตา,ราฟาแอล วาราน,แฟร์กล็องด์ เมนดี้,โทนี่ โครส,คาเซมีโร่,ฮาเมส โรดริเกซ (ลูก้า โยวิช น.70),เอแด็น อาซาร์ (ลูกัส บาสเกซ น.70),แกเร็ธ เบล (วิเนซิอุส จูเนียร์ น.79),คาริม เบนเซม่า

post

ไก่ชวดชัย! เคนกดโทษ-สเปอร์สนำ2เม็ดไม่เฮ กอสฮึดไล่เจ๊าเปิดหัว แชมเปียนส์ลีก

Football-185

“ไก่เดือยทอง” รองแชมป์ฯรายการนี้เมื่อซีซั่นที่แล้ว แม้จะขึ้นนำไปก่อนถึง 2-0 แต่ไม่สามารถรักษาสกอร์ได้สำเร็จ เมื่อเจอลูกฮึดของเจ้าถิ่น โอลิมเปียกอส รัวสองเม็ดไล่ตีเสมอ 2-2 จบด้วยการแบ่งแต้มกันไป ในเกมเปิดสนามนัดแรก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม บี เมื่อคืนวันพุธที่ 18 กันยายน ที่ผ่านมา

สนาม : สตาดิโอ จอร์กอส คาราอิสกากิส

    เริ่มเกมตอนแรกดูสูสีจนกระทั่งนาที 26 ไก่เดือยทองขึ้นนำจากจังหวะไม่น่ามีอะไร ยัสซีน เมรีอาห์ ไปแหย่เท้าสกัด แฮร์รี่ เคน ล้มลงในเขตโทษ แล้วสัญญาณ วีเออาร์ เด้งเตือน ก่อนที่กรรมการเปลี่ยนคำตัดสิน และเป็น เคน ลุกขึ้นมาสังหารเองไม่พลาดขึ้นนำ 1-0

    นาที 30 สกอร์ไหลเป็นสอง เบน เดวิส แย่งบอลได้แล้วจ่ายให้ ลูกัส มูร่า ตะบันหน้าเขตโทษเสียบก้นตาข่ายอย่าวสวยงาม คลับไก่นำห่าง 2-0

    แต่ก่อนหมดเวลานาทีเดียว โอลิมเปียกอสตีไข่แตกได้จาก ดาเนียล โปเดนซ์ เล่นชิงเข้าไปยิงเรียดเสียบเสาไกลเป็นการแก้ตัวที่เสียบอลจนโดนยิงเม็ดสอง และพักครึ่งไปด้วยสกอร์สเปอร์สนำ 2-1

    ต่อครึ่งหลังนาที 54 เจ้าถิ่นบุกครั้งแรกได้เรื่องเลยเมื่อ มาติเยอ วัลบูเอน่า เรียกฟาวล์ได้จากจังหวะโดน ยาน แฟร์ทองเก้น ทำฟาวล์ ก่อนที่ดาวเตะร่างเล็กเลือดน้ำหอมสังหารเองไม่พลาดไล่ตีเสมอ 2-2

    นาที 66 ไก่เดือยทองพลาดได้ลูกสาม เดเล่ อัลลี ได้กดเรียดติดเซฟ โชเซ่ ซา ออกหลัง จากเตะมุม เคน ได้โขกก็โด่งข้ามคาน

    เวลาที่เหลือ ทั้งสองทีมทยอยกันเปลี่ยนตัวแก้เกมแต่ไม่มีสกอร์เพิ่ม จบเกมสเปอร์สบุกเสมอ 2-2 แบบน่าเสียดายนิดๆ หลังนำห่างไปก่อน 2 เม็ด

    รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม

    โอลิมเปียกอส : โชเซ่ ซา – โอมาร์ เอลับเดลเลา, รูเบน เซเมโด้, ยัสซีน เมรีอาห์, คอสตาส ซิมิกัส – กิลเญร์เม่, อันเดรียส บูชาลากิส – จอร์กอส มาซูราส, มาติเยอ วัลบูเอน่า, ดาเนียล โปเดนซ์, มิเกล อังเคล เกร์เรโร่

    สเปอร์ส : อูโก้ โยริส – ดาวินซอน ซานเชซ, โทบี้ อัลเดอร์ไวเรลด์, ยาน แฟร์ทองเก้น, เบน เดวิส – แฮร์รี่ วิงค์ส, ต็องกีย์ เอ็นดอมเบเล่ – ลูกัส มูร่า, คริสเตียน เอริคเซ่น, เดเล่ อัลลี – แฮร์รี่ เคน

    ผู้ตัดสิน : จานลูก้า ร็อคคี่ (อิตาลี)

post

กุนโดกันแจ่ม! แมนซิตี้คืนฟอร์มดุ-บุกกระซวกชัคตาร์ฯขาดลอย

Football-184

เป๊ป กวาร์ดิโอล่า พาทีมกลับมาคว้าชัยชนะได้อีกครั้งหลังประเดิม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เกมแรกด้วยการบุกไปคว้าสามแต้มถึงบ้าน ชัคตาร์ โดเนตส์ค 3-0 เมื่อคืนวันพุธที่ 18 กันยายน ที่ผ่านมา

สนาม : อ็อบลาสนี่ย์ สปอร์ต คอมเพล็กซ์

    ชัคตาร์ โดเนตส์ค ทีมแกร่งจากยูเครน แมตช์เปิดหัว ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ของกลุ่ม ซี รับการมาเยือนของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แชมป์พรีเมียร์ลีก ซีซั่นที่แล้ว ที่ล่าสุดเพิ่งพ่ายให้ นอริช 2-3 

    เจ้าถิ่น หลุยส์ กาสโตร กุนซือชาวโปรตุกีสส่งแนวรุกอย่าง มาร์ลอส, ไทสัน และมานอร์ โซโลมอน ขับเคลื่อนเกมรุกอยู่ข้างหลัง จูเนียร์ โมราเอส ส่วนทางด้าน เป๊ป กวาร์ดิโอล่า แม้จะมีปัญหาแนวรับ ทว่าเกมนี้จับ แฟร์นานดินโญ่ ยืนเซ็นเตอร์คู่กับ นิโกลัส โอตาเมนดี้ สามประสานใช้ กาเบียล เชซุส แทน เซร์คิโอ อเกวโร่ ที่เป็นสำรอง โดยมี ราฮีม สเตอร์ลิง และริยาด มาห์เรซ ขนาบข้าง

    เปิดฉากมาได้แค่ นาทีเดียว “เรือใบสีฟ้า” เกือบชิงขึ้นนำไปก่อน หลัง เควิน เดอ บรอยน์ ครอสบอลมาให้ โรดรี้ โฉบขึ้นโขกแต่บอลหลุดกรอบออกไปอย่างน่าเสียดาย

    นาที 16 คราวนี้ ราฮีม สเตอร์ลิง โขกต่อให้ อิลคาย กุนโดกัน ได้อัดด้วยซ้ายในกรอบแต่บอลก็หลุดเสาออกไปอีกหน

    นาที 24 แมนฯ ซิตี้ มาชิงขึ้นนำ 1-0 จนได้ บอลเริ่มจาก เควิน เดอ บรอยน์ ไปปั้มบอลแย่งมาให้ อิลคาย กุนโดกัน เปิดไปโดนแนวรับเจ้าถิ่นสกัดมาเข้าทาง กาเบรียล เชซุส ไหลสั้นต่อให้ กุนโดกัน วิ่งมาอัดด้วยซ้ายไปชนเสาก่อนกระดอนมาเข้าทาง ริยาด มาห์เรซ ที่ไม่ล้ำหน้าตามซ้ำด้วยซ้ายเข้าไป

    นาที 35 บอลสวนกลับของ ชัคตาร์ฯ เกือบได้ลูกตีเสมอ หลัง ไทสัน แทงบอลทะลุแนวรับซิตี้ให้ จูเนียร์ โมราเอส หลุดไปยิงเสาแรกติดตัว เอแดร์ซอน ที่เซฟช่วยทัพเรือใบไว้ได้

    กระนั้น นาที 38 ลูกทีมของ เป๊ป มาได้ประตูที่สองนำห่าง 2-0 บอลจากทางซ้าย ริยาด มาห์เรซ ควบบอลเข้าไปก่อนแอสซิสต์เข้ากรอบเขตโทษให้ อิลคาย กุนโดกัน เติมขึ้นมาก่อนดีดไซด์ก้อยด้วยขวาเสาแรกเข้าไปอย่างเฉียบขาด

    นาที 44 แนวรับเรือใบเช็กยืนกันหลวมโดน ไทสัน แทงบอลขึ้นหน้าให้ จูเนียร์ โมราเอส หลุดเข้าไปแต่ยังดีที่ เอแดร์ซอน โมราเอส พุ่งมาขวางทางก่อนบอลไปติดขานายด่านทีมเยือน

    จบครึ่งแรก ชัคตาร์ โดเนตส์ค ตามหลัง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 0-2

    ครึ่งหลัง เจ้าถิ่นเปลี่ยนตัวคนแรกส่ง เยฟเฮน โคโนเปลียนก้า ลงมาเล่นแทน มานอร์ โซโลมอน

    นาที 53 แมนฯซิตี้ เกือบได้ลุ้นนำโด่งอีกเม็ดหลัง อิลคาย กุนโดกัน พาบอลเข้าไปยิงด้วยขวาแต่ยังไปติดเซฟของ อังเดร เปียตอฟ บอลเลยมาเข้าเท้า ราฮีม สเตอร์ลิง กดด้วยขวาบอลพุ่งไปชนเสาชวดได้ประตูที่สามอย่างน่าเสียดาย

    นาที 76 แมนฯซิตี้ สวนกลับเร็วบอลมาถึง เควิน เดอ บรอยน์ แทงบอลทะลุแนวรับถึง กาเบรียล เชซุส หลุดเข้าไปล่อเป้ายิงด้วยขวาผ่านตัว อังเดร เปียตอฟ เข้าไปให้ “เรือใบสีฟ้า” นำห่างเจ้าถิ่น 3-0

    ช่วงเวลาที่เหลือไม่มีประตูเพิ่มเติม จบเกม ชัคตาร์ โดเนตส์ค เปิดบ้านพ่ายให้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ขาดลอย 0-3 เป็นสามแต้มของทัพ “เรือใบ” ประเดิมศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ซีซั่นนี้

    รายชื่อผู้เล่นที่ลงสนาม    

    ชัคตาร์ โดเนตส์ค (4-5-1) : อังเดร เปียตอฟ – เซอร์เก โบลบัต, เซอร์เก คริฟต์ซอฟ, มีโคล่า มัตวิเยนโก้, อิสไมลี่ – ทาราส สเตปาเนนโก้, มาร์ลอส, ไทสัน, อลัน แพทริค (มาร์คอส อันโตนิโอ น.74), มานอร์ โซโลมอน (เยฟเฮ่น โคโนเปลียนก้า น.46) – จูเนียร์ โมราเอส (เดนตินโญ่ น.77)

     เทรนเนอร์ : หลุยส์ กาสโตร

     แมนฯ ซิตี้ (4-3-3) : เอแดร์ซอน โมราเอส – ไคล์ วอล์คเกอร์ (ชูเอา คันเชโล่ น.81), นิโกลัส โอตาเมนดี้, แฟร์นานดินโญ่, โอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก้ – เควิน เดอ บรอยน์ (แบร์นาโด ซิลวา น.77), โรดรี้ เอร์นานเดซ (เบนฌาแม็ง เมนดี้ น.83), อิลคาย กุนโดกัน – ริยาด มาห์เรซ, กาเบรียล เชซุส, ราฮีม สเตอร์ลิง

    เทรนเนอร์ : เป๊ป กวาร์ดิโอล่า  
 
    ผู้ตัดสิน : อาร์ตูร์ โซอาเรส ดิอ๊าส (โปรตุเกส)

post

ปารีส แซงต์-แชร์กแมง vs เรอัล มาดริด : พรีวิว ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก

Football-183

ความพร้อมทั้ง 2 ทีม

ปารีส แซงต์-แชร์กแมงเปแอสเช จะขาดผู้เล่นตัวหลักอย่าง เนย์มาร์ (โทษแบน) และ เอดินซอน คาวานี กับ คิเลียน เอ็มบัปเป้ (บาดเจ็บ) โดย เอริค มักซิม ชูโป-โมติง ที่กำลังฟอร์มร้อนแรงมีสิทธิ์เบียด เมาโร อิคาร์ดี้ ลงสนามในเกมนี้
นอกจากนี้ โธมัส ทูเคิล จะยังไร้ ยูเลียด ดรักซ์เลอร์, ธิโล เคห์เรอร์ และ โกแล็ง ดักบา จากปัญหาอาการบาดเจ็บด้วยเช่นกัน ขณะที่ เคย์ลอร์ นาบาส จะได้ดวลกับทีมเก่าหลังย้ายมาจาก เรอัล มาดริด เมื่อซัมเมอร์ที่ผ่านมา
จากที่ ทูเคิล มีปัญหาแข้งเดี้ยงระนาวจึงทำให้มีความเป็นไปได้ที่ มาร์ควินญอส จะถูกดันขึ้นไปเล่นเป็นกองกลางและ เปรสเนล คิมเป็มเบ้ ประจำการในตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็คแทนที่

https://twitter.com/PSG_English/status/1173643334004432900

เรอัล มาดริดอิสโก้ และ ลูก้า โมดริช ไม่สามารถลงช่วยทีมได้ในเกมนี้และคาดว่า ซีเนดีน ซีดาน จะใช้งาน ฮาเมส โรดริเกวซ ที่แดนกลาง ขณะที่ เอเด็น อาซาร์ ลงสนามเป็นตัวสำรองในครึ่งหลังของเกมที่ผ่านมาและมีความเป็นไปได้สูงที่เจ้าตัวจะได้ออกสตาร์ทตั้งแต่นาทีแรกในเกมนี้โดยมี แกเร็ธ เบล ประสานงานที่ฝั่งขวา
นาโช และ เซร์คิโอ รามอส ติดโทษแบนไม่สามารถลงเล่นได้โดยคาดว่า ซีดาน จะส่ง เอแดร์ มิลิเตา ประจำการแทนที่

https://twitter.com/realmadrid/status/1173871625487470592

สถิติที่น่าสนใจ

  • ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ออกสตาร์ทฤดูกาล 2019/20 ได้น่าประทับใจตามคาดกับสถิติ ชนะ 4 แพ้  1 โดยสามารถรักษาคลีนชีทได้ในเกมที่พวกเขาเอาชนะได้ทั้งหมด (ยิงได้ 7 เสีย 0) 

  • เรอัล มาดริด รั้งอันดับที่ 3 บนตารางคะแนน ลา ลีกา กับสถิติไร้พ่าย 4 เกมแรกในฤดูกาล 2019/20 (ชนะ 2 เสมอ 2) 

  • หากไม่นับรวมเกมนัดชิงชนะเลิศศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ที่แข่งขันในสนามกลางแล้ว สถิติการลงเล่นเป็นเกมทีมเยือนของ เรอัล มาดริด นับตั้งแต่ฤดูกาล 2017/18 พวกเขาเอาชนะได้ทั้งหมด 8 เกม แพ้ 2 โดย 3 จาก 4 แมตช์หลังสุดของพวกเขาในรอบแบ่งกลุ่มจบลงด้วยผลเสมอแบบไร้สกอร์

  • ฆวน เบร์นัต ยิงประตูเบิกร่องให้กับ เปแอสเช ในการลงเล่นเป็นทีมเยือนใน ยูซีแอล 2 เกมหลังสุดในฤดูกาล 2018/19 โดยทั้ง 2 ลูกเกิดขึ้นใน 15 นาทีแรกของเกม

  • คาริม เบนเซมา พัง 2 ประตูในเกมที่ผ่านมาและเป็นการยิงได้ภายในครึ่งแรกนับตั้งแต่เดือนมกราคมที่ผ่านมา
post

แอตเลติโก มาดริด vs ยูเวนตุส : พรีวิว ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก

Football-182

ความพร้อมทั้ง 2 ทีม

แอตเลติโก มาดริด

ทีมตราหมี สะดุด พ่าย เรอัล โซเซียดาด 2-0 ในเกมลีกนัดล่าสุด ทำให้เกมนี้ลูกทีมของ ดิเอโก้ ซิเมโอเน ต้องพยายามเก็บ 3 คะแนนในบ้านให้ได้เพื่อเรียกความมั่นใจกลับคืนมา แต่การต้องรับมือทีมอย่าง ยูเวนตุส ย่อมไม่ใชเรื่องง่าย การได้เล่นในบ้านพร้อมเสียเชียร์จากแฟน ๆ ใน วานต๋า น่าจะทำให้พวกเขาได้เปรียบเรื่องสภาพจิตใจ อีกทั้งซีซั่นก่อนที่สนามแห่งนี้ ขุนพล แอตฯ มาดริด เคยเปิดบ้านเอาชนะ ม้าลาย มาแล้ว 2-0

ความพร้อมล่าสุด ทีมจะไม่สามารถใช้งานนักเตะได้ 3 ราย อัลบาโร โมราต้า และ ซิเม เวอร์ซัลจ์โก้ ที่มีอาการเจ็บที่หัวเข่าทั้งคู่ ส่วนอีกรายคือ โทมัส ที่พึ่งหายจากอาการบาดเจ็บมาไม่นาน อาจจะมีชื่อแค่บนม้านั่งสำรอง ด้านตัวหลักอื่น ๆ พร้อมลงสนามทั้งหมด คาดว่าทีมตราหมี จะรอตั้งรับและหาจังหวะสวนกลับตามแบบที่พวกเขาถนัด ให้ คอสต้า และ เฟลิกซ์ ยืนเป็นคู่หูในแดนหน้าใช้ความคล่องตัวและความแข็งแกร่งเจาะแนวรับของ ยูเวนตุส ในเกมนี้

https://twitter.com/Atleti/status/1174030303331065856

ยูเวนตุส

ผลงานในซีซั่นนี้ยังดูไม่ลงตัวมากนักสำหรับทีมม้าลาย ภายใต้การคุมทีมของ เมาริซิโอ ซาร์รี โดยเกมนัดล่าสุดบุกไปเสมอกับ ฟิออเรนตินา แบบไร้สกอร์ ทำให้การมาเยื่อน แอตเลติโก้ มาดริด วันนี้จะเป็นงานหนักของพวกเขาอย่างแน่นอน ที่จะต้องเจอกับแนวรับที่แข็งแกร่งที่สุดทีมหนึ่งในยุโรป ต้องมาดูกันว่า อดีตผู้จัดการทีมเชลซี จะมีทีเด็ดอะไรมาใช้ฉีกแนวรับของเจ้าบ้านในค่ำคืนวันนี้

ทีมดังจากตูริน มีปัญหาผู้เล่นตัวหลักบาดเจ็บพอสมควร โดยมีนักเตะที่ไม่สามารถลงสนามได้ถึง 7 คน จอร์จิโอ คิเอลลินี, ดักลาส คอสต้า, มัตเตีย เปริน, มัตเตีย เด ชีโย สี่รายนี้ยังมีอาการบาดเจ็บอยู่ ส่วนอีกสามรายที่ต้องรอเช็คความพร้อมก่อนเกมคือ ดานิโล, มาร์โก้ ชาก้า, มิราเล็ม ปานิช

https://twitter.com/juventusfcen/status/1174035346713206785

สถิติที่น่าสนใจ

  • แอตเลติโก มาดริด ไม่แพ้ใครในบ้านมาแล้ว 9 เกมติดต่อกัน หากนับเฉพาะเกมอย่างเป็นทางการ

  • ทั้งสองทีมพึ่งจะโคจรมาพบกันในรอบ 8 ทีมสุดท้ายเมื่อซีซั่นก่อน และต่างคนต่างเอาชนะในบ้านของตัวเองได้โดยอีกทีมไม่สามารถบุกมาทำประตูได้เลย ผลสุดท้ายเป็น ยูเวนตุส เอาชนะไปด้วยประตูรวม 3-2

  • คริสเตียโน โรนัลโด้ คือจอมยิงประตูทีมตราหมี หลังซัดไปแล้วกว่า 25 ประตูตลอด 31 เกมที่เคยพบกันมา โดยเกมล่าสุดเป็นเกมที่ทีมม้าลาย เปิดบ้านรับการมาเยือนของ แอตฯ มาดริด ในเกม ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก เมื่อวันที่ 13 มีนาคม ที่ผ่านมาและ ซีอาร์ 7 ทำแฮตทริกได้ในเกมนั้น

  • ทีมดังแห่งเมืองตูริน ยังไม่เคยบุกมาทำประตูที่สนามแห่งนี้ได้เลย นับตั้งแต่ที่ทั้งสองทีมเคยพบกันมา
post

เชลซี 0-1 บาเลนเซีย : เก็บตก 4 ประเด็นที่เราเรียนรู้หลังเกม แชมเปี้ยนส์ลีก

Football-177

4. ความเป็นไปของเกม

Football-178

แฟรงค์ แลมพาร์ด ยังคงศรัทธาในบรรดานักเตะดาวรุ่งและใช้รูปแบบการเล่น 3 เซ็นเตอร์แบ็คเป็นนัดที่ 2 ติดต่อกันหลังจากถล่ม วูล์ฟส 5-2 ในเกมที่ผ่านมาโดยมี ฟิกาโย โทโมรี เดบิวต์ให้ทีมและ เคิร์ท ซูมา ออกสตาร์ทโดยมี เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า กับ มาร์คอส อลอนโซ ขนาบข้าง

แผนการดังกล่าวดูดีอยู่ช่วงหนึ่งทว่าพวกเขาขาดทีเด็ดทีขาดเปลี่ยนเกม แม้การเปลี่ยนเอา โอลิวิเยร์ ชิรูด์ ลงสนามแทนที่ ซูมา ก็ไม่ได้ช่วยให้จังหวะสุดท้ายของพวกเขาดีขึ้นเท่าใดนัก นอกจากนี้ แลมพาร์ด ยังต้องเสีย เมสัน เมาท์ ตั้งแต่ช่วงต้นเกมจากอาการบาดเจ็บอีกด้วย

3. วิลเลียน โดดเด่นที่แดนหน้า

Football-179

วิลเลียน กลายเป็นนักเตะที่สร้างสรรค์เกมให้กับ สิงห์บลู ได้โดดเด่นที่สุดในค่ำคืนนี้เมื่อสามารถสร้างปัญหาให้กับแนวรับของ บาเลนเซีย ได้หลายต่อหลายครั้งเพียงแค่จังหวะสุดท้ายของเจ้าตัวที่ไม่ลงตัวเท่านั้น

2. อีก 1 แข้งเดี้ยงของ สิงห์บลู

Football-180

การบาดเจ็บของ เมสัน เมาท์ ทำให้ แฟรงค์ แลมพาร์ด มีลูกทีมคีย์แมนอยู่ในห้องพักฟื้น 4 รายเข้าไปแล้วเมื่อรวมกับ อันโตนิโอ รือดิเกอร์, เอเมอร์สัน พัลมิเอรี และ เอ็นโกโล ก็องเต้ ซึ่งน่าเป็นห่วงสำหรับ สิงห์บลู เมื่อพวกเขามีคิวเปิดบ้านรับการมาเยือนของ ลิเวอร์พูล ในวันอาทิตย์ที่จะถึงนี้

1. ความมั่นใจผิดที่ผิดเวลา

Football-181

รอสส์ บาร์คลีย์ ถูกส่งลงสนามเพียงแค่ 7 นาทีก่อนที่เขาจะรับอาสายิงลูกจุดโทษในช่วงท้ายเกมในสถานการณ์ที่ทีมต้องการประตูเพื่อตีเสมอแม้ว่า วิลเลียน ที่เล่นได้อย่างเข้าฝักในเกมนี้จะแสดงท่าทีต้องการทำหน้าที่ดังกล่าวด้วยเช่นกัน ซึ่งดูเหมือนว่า แลมพาร์ด อาจต้องจัดการคนรับหน้าที่ดังกล่าวก่อนที่จะมีประเด็นอย่างที่มีตัวอย่างที่เกิดขึ้นเร็วๆ นี้กับเพื่อนร่วมลีกอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มาแล้ว

post

นาโปลี 2-0 ลิเวอร์พูล : 5 ประเด็นที่เราเรียนรู้หลังเกม

Football-171

5. เมเร็ต สวมบทพระเอก

Football-172

อเล็กซ์ เมเร็ต งัดเซฟสำคัญช่วยทีมไว้ได้อย่างยอดเยี่ยมโดยเฉพาะกับช็อตที่ช่วยชีวิตของ คาสตอส มาโนลาส ที่ทำบอลลั่นไปเข้าทางของ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ทำให้สกอร์ยังคงเป็น 0-0 ก่อนที่ นาโปลี จะได้ 2 ประตูในช่วงท้ายเกมคว้าชัยชนะไปได้ในที่สุด

4. อาเดรียน ไม่น้อยหน้า

Football-173

แม้ว่า นาโปลี จะเป็นฝ่ายได้ 2 ประตูในช่วงท้ายเกมทำให้พวกเขาเอาชนะไปได้แต่การป้องกันที่โดดเด่นของ อาเดรียน ทำให้พวกเขายังสามารถรักษาสกอร์ไว้ที่ 0-0 อยู่ได้กว่า 80 นาทีโดยเฉพาะการบินปัดมือเดียวช็อตแท็ปอินของ เมอร์เทนส์ น่าเสียดายที่เจ้าตัวต้องถูกลูกจุดโทษเล่นงานต่อด้วยความผิดพลาดของแนวรับที่มอบของขวัญให้กับ เฟร์นานโด ยอเรนเต้ ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ

3. สถิติของ หงส์แดง

Football-174

ลิเวอร์พูล กลายเป็นทีมแชมป์เก่าในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก สโมสรแรกที่ปราชัยในนัดประเดิมสนามของซีซันใหม่ต่อจาก เอซี มิลาน ในฤดูกาล 1994/95

หงส์แดง ยังสามารถรักษาคลีนชีทได้เพียง 1 เกมจาก 8 นัดที่ผ่านมาในฤดูกาลนี้อีกด้วย

2. เมอร์เทนส์ วูบวาบ

Football-175

ดรีส์ เมอร์เทนส์ พังประตูที่ 11 ของเจ้าตัวในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ก่อนที่พวกเขาจะคว้าชัยได้สำเร็จ เจ้าตัวยังเป็นคงฉกลูกจ่ายของ เวอร์จิล ฟาน ไดค์ ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บก่อนผ่านต่อให้ เฟร์นานโด ยอเรนเต้ ยิงตอกฝาโลงรวมทั้งยังมีส่วนกับการสร้างความปั่นป่วนให้กับแนวรับของ หงส์แดง ตลอดทั้งเกมนี้อีกด้วย

1. ซาลาห์ ไร้ประตูในเกมเยือนอีกครั้ง

Football-176

โอกาสของทั้ง 2 ทีมในเกมนี้มีอยู่อย่างจำกัดจำเขี่ยเมื่อต่างฝ่ายต่างระวังหลังบ้านกันสุดฤทธิ์โดย ซาลาห์ ไม่สามารถสร้างสรรค์โอกาสให้กับทั้งตัวเองและเพื่อนร่วมทีมได้ดีพอเมื่อเทียบกับมาตรฐานของเจ้าตัวเมื่อเจอกับแนวรับของ นาโปลี ทำให้เจ้าตัวไม่สามารถยิงประตูในการเล่นเป็นทีมเยือนมา 3 เกมติดต่อกันเข้าไปแล้วในฤดูกาลนี้

post

โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ 0-0 บาร์เซโลนา : เก็บตกทุกประเด็นร้อนหลังเกม แชมเปี้ยนส์ลีก

Football-165

บาร์เซโลนา ทำได้เพียงเสมอกับ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ในแมตช์ประเดิมสนาม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบแบ่งกลุ่มแบบไร้สกอร์โดย มาร์ค-อังเดร แทร์ สเตเก้น งัดฟอร์มพระเอกเซฟจุดโทษให้กับทัพ อาซูลกรานา

เกมเริ่มต้นขึ้นด้วยโอกาสอย่างถนัดถนี่ของ มาร์โก้ รอยส์ ในช่วงต้นเกมแต่ไม่สามารถจบสกอร์ผ่าน แทร์ สเตเก้น ได้ ตามมาด้วย จาดอน ซานโช ยิงไกลข้ามคานออกไปก่อนจบครึ่งแรกเพียงไม่กี่นาที

Football-166

หลุยส์ ซัวเรซ ได้จังหวะยิงหวังผลแต่ถูก โรมัน เบอร์กี้ เซฟพ้นอันตรายไว้ก่อนที่ เนลสัน เซเมโด้ จะเข้าสกัด ซานโช ทำให้ทีมเสียลูกจุดโทษโดย รอยส์ รับหน้าที่สังหารแต่เจ้าตัวยิงไปติดเซฟนายทวารเพื่อนร่วมชาติ ดาวเตะ เสือเหลือง พยายามที่จะตามเข้าไปซ้ำแต่ แทร์ สเตเก้น ก็ลุกขึ้นมาคว้าบอลไว้ได้ทัน

ก่อนที่จะจบเกม ยูเลียน บรันด์ท ถูกส่งลงสนามในฐานะตัวสำรองและได้สับไกยิงจากนอกกรอบเขตโทษ บอลพุ่งวาบชนคานอย่างจังเป็นจังหวะได้ลุ้นเหน่งๆ ครั้งสุดท้ายของเกมก่อนที่จะสิ้นเสียงนกหวีดยาวด้วยผลเสมอ 0-0

โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์

ประเด็นสำคัญหลังเกม

Football-167

พลพรรค เสือเหลือง ภายใต้การคุมทีมของ ลูเชียง ฟาฟร์ มักเป็นฝ่ายครอบครองบอลได้มากกว่าคู่แข่งเมื่อพวกเขาลงเล่นในศึก บุนเดสลีกา แต่สำหรับเกมกับ บาร์ซา พวกเขายืดหยุ่นปรับเกมให้เหมาะเมื่อเจอคู่ต่อสู้ที่เล่นเท้าสู่เท้าได้อย่างเป็นเลิศ

ดอร์ทมุนด์ ยินดีที่จะกระชับพื้นที่ของพวกเขาเองเพื่อสร้างความลำบากให้กับทีมเยือนโดยมี มัตส์ ฮุมเมลส์ เป็นผู้นำในแนวรับ ขณะที่แนวรุกรอบจัดของพวกเขาทั้ง จาดอน ซานโช, มาร์โก้ รอยส์ และ ธอร์แกน อาซาร์ คอยสนับสนุน ปาโก้ อัลคาเซร์ จากการเคลื่อนบอลจังหวะเดียวที่รวดเร็วโจมตีพื้นที่ว่างที่ด้านหลังของทัพ อาซูลกรานา

คะแนนนักเตะ

ผู้เล่น 11 คนแรก: เบอร์กี้ (6); ฮาคิมี (7), อคานยี (7), ฮุมเมลส์ (9*), เกร์เรย์โร (6); วิตเซลl (8), เดลานีย์ (6), รอยส์ (7); ซานโช (8), อาซาร์ (7), อัลคาเซร์ (6).

ตัวสำรอง: บรันด์ท (6), ลาร์เซน (6)

คีย์แมน – มัตส์ ฮุมเมลส์

Football-168

เมื่อครั้งที่ ฮุมเมลส์ ตอบรับการย้ายกลับมาร่วมทัพ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ อีกครั้งในซัมเมอร์ที่ผ่านมา เสียงของแฟน เสือเหลือง แตกเป็น 2 ฝ่ายเมื่อฝั่งหนึ่งยินดีกับการรีเทิร์นถิ่นเก่าอีกคำรบ ขณะที่อีกฝั่งหนึ่งค่อนขอดว่าเป็นการเซ็นสัญญาที่พวกเขาถูก บาเยิร์น มิวนิค ขูดรีด

ทว่าเกมในวันนี้ก็แสดงให้เห็นชัดแล้วว่า ฮุมเมลส์ ยังคงเตะปี๊บดังเมื่อเซ็นเตอร์แบ็ควัย 30 ปีกลายเป็นผู้นำในแดนหลังของ ดอร์ทมุนด์ โดดเด่นกับทั้งการเข้าสกัดและการเซ็ตบอลจากแดนหลัง ซึ่งเป็นการยกระดับ เสือเหลือง จากฤดูกาลที่ผ่านมาอีกด้วย

บาร์เซโลนา

ประเด็นสำคัญหลังเกม

Football-169

แม้ว่า บาร์เซโลนา จะเป็นฝ่ายรักษาการครอบครองบอลเมื่อเวลาของเกมผ่านไปแต่พวกเขากลับไม่สามารถสร้างโอกาสที่ชัดเจนได้จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปถึงใกล้จะหมดครึ่งแรกตรงกันข้ามกับเจ้าถิ่นอย่างชัดเจน

เห็นได้ชัดว่า เสือเหลือง เป็นฝ่ายที่เล่นได้ตามแท็คติกและรูปเกมเข้าทางพวกเขามากกว่าแม้ว่าทีมเยือนจะส่ง ลิโอเนล เมสซี ลงมาประเดิมสนามนัดแรกของฤดูกาลก็ตาม

คะแนนนักเตะ

11 ผู้เล่นตัวจริง: แทร์ สเตเก้น (8*); เซเมโด้ (6), ปิเก้ (7), ล็องเลต์ (6), อัลบา (6); อาร์ตูร์ (7), บุสเก็ตส์ (7), เดอ ยอง (7); ฟาติ (7), ซัวเรซ (6), กรีซมันน์ (7)

ตัวสำรอง: โรแบร์โต้ (6), เมสซี (7), ราคิติช (6)

คีย์แมน – มาร์ค-อังเดร แทร์ สเตเก้น

Football-170

นายทวารมือหนึ่งของ บาร์เซโลนา กลายเป็นพระเอกในเกมนี้เมื่อก้าวขึ้นมางัดเซฟป้องกันลูกจุดโทษของ มาร์โก้ รอยส์ ช่วยให้ทีมรอดพ้นจากความพ่ายแพ้ที่ เวสต์ฟาเลนสตาดิโอน แถมด้วยโอกาสของเจ้าถิ่นที่สุ่มเสี่ยงจะเสียประตูในช่วงท้ายเกม

post

แลมพ์เผย ก็องเต้-โอดอย ยังไม่พร้อมคัมแบ็กสิงห์

Football-146

  แฟร้งค์ แลมพาร์ด ผู้จัดการทีม เชลซี สโมสรยักษ์ใหญ่ของพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ยืนยันว่า เอ็นโกโล่ ก็องเต้ มิดฟิลด์ของทีม รวมทั้ง คัลลั่น ฮัดสัน-โอดอย และ รีซ เจมส์ 2 ดาวรุ่งยังไม่พร้อมกลับมาลงสนามกับ “เดอะ บลูส์” สำหรับเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก กับ บาเลนเซีย  ก็องเต้ ไม่มีส่วนร่วมกับทัพ “สิงห์บลูส์” ตลอด 3 นัดหลังสุด เนื่องจากประสบปัญหาบาดเจ็บบริเวณข้อเท้า  รวมทั้ง “สิงโตน้ำเงินคราม” ยังไม่มีกองกลางทีมชาติฝรั่งเศส สำหรับแมตช์เปิดสังเวียนสแตมฟอร์ด บริดจ์ ของตัวเองรับการมาเยือนของ “ค้างคาว” ในเกมแชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม นัดแรก วันอังคารนี้  “เจมส์ (รีซ เจมส์), ฮัดสัน-โอดอย และ ก็องเต้ กลับมาฟิตแล้ว แต่ยังไม่พร้อมสำหรับแมตช์นี้ พวกเขาจะต้องลงเล่นกับเกมในชุด U23 อีกสักหน่อย ก่อนกลับมาลงสนามกับทีมชุดใหญ่” แลมพาร์ด กล่าว